Friday, May 20, 2005

ล่ารอยหมาจิ้งจอก


โดย เภา
23 มกราคม 2005

เมื่อวานวันเสาร์มาค้างที่บ้านลี หิมะตกขาวโพลนตลอดวัน ตอนเย็นออกไปเดินเล่นสำรวจพื้นที่รอบๆบ้านและที่ดิน มีโรงนาอยู่ประมาณสี่ห้าหลังโรงนาบางหลังดูเหมือนฟาร์มวัว เป็นแถวยาวๆและมีคอกให้วัวโผล่หัวออกมากินหญ้า บางโรงก็ดูเหมือนโรงนาเกี่ยวข้าวนวดข้าว บางโรงก็เป็นที่เก็บของขนาดใหญ่ เจ้าของที่เอาไว้เก็บของโละแล้ว(เช่นเครื่องซักผ้า เปียโนเก่า หนังสือเก่า ตู้โต๊ะโบราณ) และรถยนต์รถแทรคเตอร์ ที่รอบๆเท่าที่สำรวจมาเห็นมีเคบินอยู่ประมาณห้าหกหลัง เจ้าของที่เขาให้คนมาเช่าอยู่ (ลีเป็นหนึ่งในผู้เช่า) เคบินแต่ละหลังเป็นเคบินไม้ทาสีเขียวแบบฟาร์มเฮาส์ทั่วไป ประตูเป็นบานไม้หนักแบบเก่า มีบานพับเหล็กชิ้นใหญ่ดีไซน์แบบสมัยร้อยปีที่แล้ว เคบินพวกนี้ไม่ค่อยกันลมเท่าไหร่ ตอนนี้ลมหิมะพัดมาก็รอดเล็ดเข้าตามซอกประตูหน้าต่าง ถ้าไม่มีหน้าต่างกันลมอีกชั้นก็ต้องหาอะไรมาอุดให้แน่นหนา ตอนนี้ที่บ้านลีมีหน้าต่างแค่ชั้นเดียวก็หนาวนัก แต่เนื่องด้วยตำแหน่งบ้านอยู่หลังเนิน ก็เลยไม่แย่เท่าไหร่ ไม่เหมือนเพื่อนบ้านคนที่อยู่หน้าเนิน บ้านนั้นเขารับลมเต็มๆ เขาบ่นหนาวอุบ

เช้านี้ (วันอาทิตย์) เสียงลีเรียกให้ผลุดลุกจากที่นอนมาดูหมาจิ้งจอก เลยรีบคว้าแว่นตาโดดผลุงมาที่หน้าต่างห้องกินข้าว เห็นหมาจิ้งจอกสีส้มสองตัวยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าบ้าน ตัวมันเล็กนิดเดียวเอง ขนาดประมาณแมวตัวใหญ่ ปากเรียวสีดำ หางเป็นพู่ยาว ตรงปลายเหมือนไปจุ่มสีขาวมา ขายาวเหมือนใส่ถุงน่องสีดำ พอคว้ากล้องจะถ่ายกล้องดิจิตอลเจ้ากรรมก็เดินเครื่องช้าเกินแกง กว่าจะพร้อมให้ถ่ายเจ้าหมาสองตัวนั่นก็ย่องพรวดขึ้นเนินไปเสียแล้ว

รีบขุดเสื้อผ้าออกมาสวมกันให้หนาหนัก เสื้อแจ๊คเก็ตสามชั้น กางเกงล่าสัตว์คนละสามชั้น ถุงเท้าสองชั้น เสื้อโค้ทอีกหนึ่ง หมวกขนสัตว์ รองเท้าลุยหิมะ และที่ขาดไม่ได้ กล้องถ่ายรูป!

ย่ำๆกันไปยังที่หมาสองตัวนั่นมันยืนอยู่เมื่อสิบนาทีที่แล้ว เห็นรอยเท้าสองรอยดุ่มมาจากหลังดงต้นโอ๊คตรงข้ามบ้าน รอยเท้ายืนละล้าละลังแล้วก็เลี้ยว
คดขึ้นเนินไป

เดินน้ำตาไหลพรากๆเพราะลมพัดเฉียบบาดเนื้อหน้า ต้องคอยตลบผ้าพันคอขึ้นมาแล้วเอาหน้าซุก บนเนินนี้หิมะค่อนข้างบาง รอยตีนหมาสองตัวเริ่มจางลง จางจนกระทั่งไม่เห็นอะไร พอรู้ตัวว่าตามมาผิดทางก็ต้องวนกลับ ครึ่งทางหลังลีเห็นรอยตีนเล็กๆจางๆหนึ่งรอยเลี้ยวออกซ้ายไปตัวเอสคดเคี้ยวไปมา เราก็ดุ่มตามรอยนั่นไป ดูเหมือนว่าหมาสองตัวแยกทางเดินกันหากินเสียแล้ว

ลมพัดหนาหนักทำให้รอยตีนจางลงได้ง่าย รอยที่เห็นนั้นผลุบๆโผล่ๆ ต้องคอยสังเกตุให้ดีๆ ลีบอกว่าให้ดูตามพุ่มไม้และตามทางรั้วไม้ หมามันมักเดินหลบๆตามกำบังพวกนี้ เดินลงเนินมาลมพัดหิมะมาแรงเลือเกิน บางทีต้องเดินเอาหลังไปก่อนฝุ่นหิมะปลิวเป็นระลอกๆเหมือนเดินในทะเลทรายเลย แต่เป็นทะเลทรายสีขาว และแทนที่จะร้อนกลับหนาว

นั่นไงเจอแล้ว รอยยังสดๆอยู่เลย รอยตีนหนึ่งรอยย่องมาตามซุ้มรั้ว มุดรั้วไปอีกด้าน แล้วโยกย้ายเป้นตัวเอส มุ่งเข้าไปในพุ่มหนามข้างหน้า

เราปีนข้ามรั้วตามไปไม่ลดละ ตามรอยเข้าไปในพุ่มหนาม สงสัยว่าเรามาเจอรังของมันเข้าให้แล้ว ลีบอกถ้านี่ใช่บ้านมันจะมีรูทางเข้าขนาดประมาณครึ่งศอก เห็นมีรูอยู่รูหนึ่ง เล็กกว่าครึ่งศอก เล็กเกินกว่าหมาจิ้งจอกจะเข้าไปอยู่ได้ รอบๆรูนั้นมีรอยเท้าเข้าออก แต่ดูไม่เป็นตัวเอส ไกลออกไปหน่อยรอบๆพุ่มหนามนี้เอง เห็นรอยตัวเอสวนเวียนชวนให้สับสนนักว่าเจ้าของรอยมันเดินมาจากทางไหน และกำลังจะไปไหน มีรอยเส้นเห็นเป็นทางยาวเหมือนมีใครถูลากอะไรบางอย่าง ถัดขึ้นมาทางเหนือจากรอยสับสนอลหม่านนั้นมีรอยเท้าหนักๆ เหมือนมันกำลังวิ่ง กระโจน และตะครุบ จากร่องรอยการต่อสู้นี้หน่วยสะกดรอยสรุปได้ว่าหมาจิ้งจอกมันมาวนเวียนล่อกระตายไปกินนั่นเอง
หลังจากเห็นหลักฐานจากเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นนี้ การตามรอยก็ยังดำเนินต่อไป ทีนี้เราข้ามเนินไปอีกลูก มุ่งไปดงป่าข้างหน้า บนเนินนี้มองไม่เห็น

รอยตีนตามพื้นหิมะแล้วเพราะลมพัดฝุ่นหิมะมาแรงมาก กลบรอยไปหมด เห็นแต่หนามหญ้าสีน้ำตาลพุ่งขึ้นเป็นหย่อมๆ เราสวบๆกันมาวิ่งบ้างเดินบ้าง
เท้าจมลงไปในหิมะเกือบครึ่งแข้ง ขาเริ่มชาเล็กน้อย

ดงหนามนี้มีรอยตีนใหม่ๆอยู่หลายรอย รอยหนึ่งเดินเป็นเส้นตรง รอยกดของตีนมีลักษณะเป็นกีบเหมือนรอยกวาง นั่นไง รอยเจ้ากวางนอนพัก พื้นหิมะหลุบเป็นหลุมแบนกว้าง เห็นรอยพักอยู่สองรอยแล้วก็รอยกีบลุกย่ำเดินต่อไป

แต่เราอยากได้รูปหมาจิ้งจอก เราเลยเดินหารอยตัวเอส มุ่งตรงเนินไปอีกหน่อย ข้ามรั้วซุ้มมาอีกสองรั้ว พุ่มไม้ข้างหน้ามีลำธาร คนแถวนี้เขาเรียกลำธารนี้ว่าลำธาร“ ลิตเติ้ล ริเวอร์”

ตรงขอบลำธารนี้เป็นน้ำแข็งไปแล้วบางส่วน ต้องคอยดูให้ดี เพราะบางส่วนของน้ำแข็งอ่อนมีหิมะคลุมอยู่ ถ้าเผลอเหยียบบนน้ำแข็งอ่อนนี้อาจจะหกล้มตกลงไปขาแข้งหักได้ น้ำที่ไหลในลำธารพัดเอาน้ำแข็งก้อนเกล็ดลอยไปอยู่บนผิวหน้า น้ำแข็งก้อนบนผิวน้ำนี้ไหลแล่นแรงฉิว เดินต่อข้ามไปอีกฝั่งไม่ได้แล้ว เราแกะช๊อคโกแลตในกระเป๋าออกมาแบ่งกันแทะ เพิ่มพลังงานน้ำตาลในเลือดเล็กน้อย แล้วต่างคนต่างก็เดินสำรวจไปรอบๆ

นั่นไงไอ้หมาจิ้งจอก! ลีตะโกนเสียงหลงจากขอบซุ้มรั้ว ก้อนสีส้มน้ำตาลจ้ำพรวด ทะยานทางอีกฝั่งของลำธาร วิ่งหายไปบนเนินอีกฟาก อย่าว่าแต่คว้ากล้องเลย หลับตาพริบเดียวก็ไม่เห็นฝุ่นแล้ว อ้ายหมาจิ้งจอกนี่มันไวนัก

ถึงอย่างไรก็ได้เห็นหมาจิ้งจอกเป็นบุญตาหลังจากสู้อุตส่าห์สะกดรอยข้ามเนินหนาวมาหลายลูก นับว่าไม่เสียเที่ยวทีเดียว แต่ขากลับก็เหนื่อยเอาการ
เพราะต้องข้ามเนินหลายลูกรวดเดียว แถวนี้เขาว่ามีหมาจิ้งจอกมาอยู่หลายตัว มาบ่อยๆเดี๋ยวๆก็เจออีก การได้อยู่กับป่ากับเขาที่นี่มีเรื่องสนุกให้ทำเช้าจรดค่ำ ถ้าไม่มีงานที่ต้องสะสางวีคเอนด์นี้คงได้ออกไปล่ารอยสัตว์อีก