Tuesday, August 23, 2005
ริมฝั่งน้ำ
โดย ผัดกะเพรา
หลังจากที่กบดานไม่ออกไปไหนกับใครต่อใครนานนับเดือน สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันยกงานออกจากอก ระลึกได้แล้วว่าชีวิตนี้ไม่ได้มีแต่ตัวเอง ถึงกาลโผล่ออกมาพบหน้าตาเพื่อน และคนอื่นที่สามารถจะเป็นเพื่อนในอนาคต
เอมี่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานเดือนหน้า เจ้าหล่อนเกรงว่าชีวิตจะเปลี่ยนอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ เลยตระเตรียมการไปเที่ยวแบบคนโสดเป็นครั้งสุดท้าย นัดแนะคนสนิทชิดเชื้อไปตากอากาศ ที่ๆ มีภูเขา แม่น้ำ ที่ๆได้เริงโลดอย่างเสรี แบบที่มีแต่สาวๆ
เป็นโอกาสที่ฉันได้เปิดตาออกมาดูโลก ได้เจอคนอื่นๆที่ไม่เหมือนตัวเอง บ้างก็หน้าเก่า บ้างก็หน้าใหม่ เพื่อนเอมี่มีหลายแบบ บางคนยี่สิบปลายๆ บางคนเกือบห้าสิบ ทุกคนมีความน่าสนใจต่างๆกันไป
ลิน (Lyn) สาวใหญ่วัยเกือบห้าสิบ ตัวสูงยาว ผมยาวบลอนด์ เพิ่งแต่งงานเมื่อสองเดือนที่แล้ว และเป็นคนเดียวในกลุ่มนี้ที่มีครอบครัว ลินเลยมีเรื่องเกี่ยวกับชีวิตไม่โสดมาเล่าให้กับคนโสดและที่กำลังจะสละโสดทั้งหลายฟังให้ขนลุกเล่น ลินท่าทางดูเป็นผู้ใหญ่ที่สุภาพเรียบร้อยมาก พูดเพราะ สงวนหน้าตาท่าทีเวลาพูดจา ทำกับข้าวเก่ง
เด๊บบี้ (Debbie) สาวใหญ่เกือบห้าสิบอีกเหมือนกัน แต่ตรงกันข้ามกับลิน เดบบี้โสด โผงผาง ตรงไปตรงมา เดบบี้ทำงานวิทยุ เลยพูดเก่ง แต่ละคำที่เลือกคัดสรรมาอธิบายภาพความคิดของเธอ ล้วนแล้วแต่ถึงพริกถึงขิง เนื่องจากงานเกี่ยวกับการพัฒนาระบบวิทยุในประเทศต่างๆ เดบบี้มีโอกาสไปอยู่ประเทศโลกที่สามมาหลายที่ ล่าสุดไปอยู่ ไลบีเรีย (อาฟริกา) มาหนึ่งปี มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความไม่เทียมทัดของชีวิตผู้คน (นอกอเมริกา) มาเล่าให้สาวในวงหลายๆคนหน้าเบ้เพราะรันทดไปตามๆกัน ด้วยความที่ผ่านมาหลายโลก เดบบี้มีความมั่นใจในความเห็นเรื่องต่างๆมากกกกก
ซอนย่า (Sonnia) สาวเกือบใหญ่แล้ว แต่ท่าทางเธอเหมือนเด็กรุ่น ไม่มีการไว้ท่าที ชอบหัวเราะและทำท่าทางโปกฮา และมักออกความเห็นแบบไม่มีเบรค ซอนย่าว่าเธอชอบการเดินทางย้ายที่อยู่มาก เพราะเธอว่าตอนเด็กๆพ่อแม่ย้ายที่อยู่ทุกสองสามปี จากอิตาลี อิหร่าน อียิปต์ แคลิฟอร์เนีย นิวยอร์ค ดีซี และอื่นๆอีกที่เธอเล่าข้าม ซอนย่าไม่เคยทุกข์ใจกับการลาจาก เธอว่าดีเสียอีก เวลามีปัญหาก็เผ่นได้ง่ายดี ซอนย่าทำงานกับองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มักมีความเห็นที่โผงผางและรุกไม่ยั้งเมื่อบทสนทนามาถึงเรื่องการเมืองและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
การี่ (Gari) สาวดำคนเดียวในหมู่ การี่เงียบๆ ในกลุ่มสนทนามักจะเป็นคนฟังมากกว่าพูด ไม่เหมือนซอนย่า แต่ชอบฟังเพลงสนุกและเต้นรำเก่ง เวลาลินและฉันทำกับข้าว การี่ก็จะเปิดเพลงสวิง ซาลซ่า แทงโก้ และสอนให้สาวๆหัดเต้น การี่ทำงานที่น่าทึ่งมาก เธอทำงานกับสถาบันสมิธโซเนียน (Smithsonian) เป็นนักวิจัยภูเขาไฟ! ได้ออกเดินทางไปไหนมาไหนทุกเดือน ไปดูภูเขาไฟ เป็นงานที่ใครต่อใครอิจฉามากๆ ล่าสุดการี่ดำเนินงานเกี่ยวกับการติดตั้งเครื่องมือยุทธกรณ์เตือนภัยสึนามิให้กับอินโดนีเซีย
มิเชล (Michelle) สาวน้อยลูกครึ่งจีน-ฝรั่งเศส หน้าตาจุ๋มจิ๋ม มิเชลเป็นกราฟิคดีไซน์เนอร์ และเป็นศิลปินวาดภาพด้วย เพิ่งเปิดงานนิทรรศการภาพเขียนสีอะคริลิคแนวแอบสแตรค วันแรกขายไปได้หนึ่งรูป มิเชลหัวเราะง่าย อารมณ์ดี เธอมีความสนใจหลากหลาย ชอบศึกษาเรื่องดวง และเป็นครูสอนโยคะ
ฌอนทาล (Chantal) สาวสวยทันสมัย หุ่นนางแบบ ตาดำผมดำขลับ เป็นลูกครึ่งหลายครึ่ง เมดิเตอเรเนียน รัสเซีย ยุโรป อเมริกา หาบทสรุปไม่ได้ในรากเหง้าของเธอ ฌอนทาลเป็นสาวอารมณ์ดี พูดเก่ง ชอบพูดตลก และมีความสามารถในการเข้ากับคนเก่งมาก ฌอนทาลชอบแต่งตัวสวยเสมอ กระเป๋าเดินทางของเธอมีนิตยสาร เกลเมอร์ (Glamour), โอ ของ โอปรา วินฟรีย์ (Opra Winfrey) และอื่นๆในทำนองนี้อีกเล่มสองเล่มไว้อ่านยามว่าง ฌอนทาลกับมิเชลชอบคุยกันเรื่องหนุ่มๆ
เอมี่ (Amy) แต่เธอเขียนลายเซ็นต์ในงานศิลปะของเธอว่า Ame เพราะว่ามันเป็นเรื่องของ Me! เอมี่ศิลปินสาวตัวเล็กที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์เดือนหน้านี้กับแฟนหนุ่มอเมริกัน-ยิวของเธอ (เอมี่ก็โตมาแบบยิวแท้เหมือนกัน) เอมี่เป็นคนโรแมนติก และมองโลกในแง่ดีมาก ฉันรู้จักกับเอมี่จากการเข้าเรียนวิชาภาพพิมพ์เมื่อหลายปีก่อน และบ้านอยู่ในละแวกเดียวกันก็จะนัดเจอกันแบบฉุกละหุกเวลาไปซื้อกับข้าวที่ตลาดเช้าเสมอๆ เอมี่เป็นคนน่ารัก และรักคนง่าย ด้วยความเป็นคนอ่อนหวานน่ารัก และมีใจเปิดกว้างกับความคิดเห็นทุกรูปแบบ เอมี่จึงเป็นกาวที่แนะคนนู้นมารู้จักคนนี้เสมอๆ ทั้งเพื่อนที่มีความคิดขวาจัดอย่างอลันสามีในอนาคตของเธอ ไปจนถึงที่ซ้ายจัดอย่างเด๊บบี้และซอนย่า การพักผ่อนหย่อนใจริมแม่น้ำครั้งนี้ เอมี่ก็เป็นศูนย์กลางให้ทุกๆคนมาเจอและรู้จักกัน
ส่วนฉัน คนหน้าไทยพูดฝรั่งติดๆขัดๆอยู่คนเดียวในกลุ่ม ถึงไม่ได้เคอะเขินอะไรแต่ด้วยความใหม่กับหลายๆคน ก็ได้แต่นั่งฟังเสียส่วนมากในเวลาที่กลุ่มใหญ่ออกความเห็นเรื่องต่างๆ ในบทสนทนาหลายๆครั้งของสาวๆ มักจะลงเอยที่การเมืองและความเห็นแตกต่างที่หาข้อสรุปไม่ได้ ฉันก็มักจะใช้เวลานั่งสเกตช์รูปไปพลางๆ และหัวเราะตามเวลาใครว่าอะไรขำๆ
ทริปนี้มีแค่สองวันแต่ก็คุ้มค่ามาก กลางวัน เราได้ไปล่องแพห่วงยาง ลอยระเรื่อยเอื่อยตามแต่แม่น้ำจะพาไป แวะพักกินแซนด์วิชที่เอาลอยติดไปด้วย ในสถานภาพที่ตัวเปียกโชก มีแต่ภูเขาแม่น้ำล้อมรอบ เปิดโอกาสให้ได้รู้จักแต่ละคนลึกซึ้งขึ้น อยากรู้จักใครใกล้ขึ้นก็ลอยไปติดกับคนนั้น และก็นอนหงายนอนคว่ำบนแพห่วงยางคุยกันไป ห่วงใครห่วงมัน ไม่มีกังวล
ห้าโมงเย็น เราลอยกันมาถึงฝั่ง แดดยามเย็นอุ่นๆในทุ่งกว้าง เรานั่งคุยกันไปนั่งดูแดดสะท้อนยอดไม้ไปพลางๆ แล้วก็นั่งรถกลับที่พัก
ค่ำคืนเดือนหงาย หลังอาหารค่ำที่ฉันทำ (ผัดก๋วยเตี๋ยวกับเต้าหู้แตงกวาในซอสถั่ว และอกไก่เผา ทุกคนว่าอร่อยมาก) เราถือโอกาสมาล้อมรอบกองไฟ ฌอนทาลมีไอเดียพิธีกรรมมาเสนอให้ทุกคนร่วมทำ ไหนๆก็เดือนหงาย น่าจะชะล้างจิตวิญญาณเสียหน่อย พิธีแรกเป็นพิธีอธิษฐานความดีงามความสำเร็จให้กับตัวเอง ที่สองให้กับชีวิตแต่งงานในอนาคตของเอมี่ และสุดท้ายให้กับโลกของเรา อันหลังนี่ชักมีกลิ่นตุๆ แต่ทุกคนก็ทำกันแบบยิ้มๆ
เริ่มด้วยอธิษฐานให้กับตัวเอง ฌอนทาลแจกกระดาษให้ทุกคนเขียนเรื่องที่อยากหลุดพ้น หรืออยากไปให้ถึง อธิษฐานเสร็จก็ให้โยนกระดาษที่เขียนลงไปในกองไฟ เอมี่มีไอเดียเพิ่ม โยนแล้วให้ทำเสียงด้วยนะ เสียงอะไรก็ได้ แล้วทุกคนก็ต้องทำตามพร้อมกันเหมือนเป็นการสะท้อนคำอธิษฐานนั้น มิเชลมีข้อโต้แย้ง บอกว่างี่เง่าจัง ไม่อยากทำเลย ทำอย่างอื่นได้ไหม ตกลงว่ามิเชลทำท่าแทน เป็นท่าผายปอดโล่งอกตอนที่เธอโยนคำอธิษฐานของเธอลงไปในกองไฟ ส่วนคนอื่นๆที่ไม่มีข้อโต้แย้งก็สร้างสรรค์เสียงกันไป เสียงหมาบ้านบ้าง หมาป่าบ้าง ถอนใจบ้าง ร้องเพลงที่แต่งเองบ้าง เสร็จแล้วทุกคนก็ว่าตามกันแบบขำๆ
ต่อมาอธิษฐานให้เอมี่ มิเชลครูสอนโยคะว่าทุกคนควรพนมมือ "นมัสเต" ก่อน แล้วจะว่าอะไรก็ว่าไป อันสุดท้าย อธิษฐานให้โลก ฌอนทาลเจ้าของไอเดียเสนอให้ทุกคนหันหน้าเข้าหาดวงจันทร์ ซึ่งขณะนั้นกำลังสุกสกาวและกระต่ายกำลังตำข้าวพอเหมาะพอดี แล้วแต่ละคนก็ยืนหันหน้าหาดวงจันทร์เหมือนถูกสะกดจิต และก็ร่ายมนต์ของตัวเองในใจ คำอธิษฐานจะไปถึงที่หมายไหมไม่มีใครรู้
ดึกดื่น เรานั่งอาบแสงจันทร์ ผลัดกันเล่าเรื่องอะไรต่อมิอะไรกันที่ม้านั่งริมน้ำ เผามาร์ชมาโลว์มาประกบกินกับช็อคโกแล็ตและแครกเกอร์ (เข้ากันตรงไหน?) แต่ก็อิ่มเอมในพิธีกรรมแบบเยาว์วัยที่ทำด้วยกัน
วันสุดท้ายตอนบ่าย ฉันใช้เวลาก่อนกลับนั่งวาดรูปกับเอมี่ริมน้ำ คนอื่นๆกลับเข้าเมืองไปก่อนแล้ว แสงแดดสะท้อนน้ำ สีเขียวแก่เขียวอ่อนของภูเขาและต้นไม้ริมน้ำแลดูดด่ำฉ่ำใจมาก ลากดินสอไปบนกระดาษด้วยใจโล่งสบายแบบที่ไม่ได้เป็นมานานแล้ว.
Monday, August 22, 2005
พี่จ๋า
โดย ผัดกะเพรา
พี่จ๋า
เคยได้ยินไหมจ๊ะ คำกล่าวที่เขาว่า "เมื่อเราพบงานที่ทำให้สุขใจแล้ว เราจะ(รู้สึกเหมือน)ไม่ต้องทำงานอีกเลย" เป็นคำกล่าวที่ได้ยินปุ๊บ ต้องมองกลับมาหาตัวปั๊บ คิดยอกย้อนว่าทุกวันนี้ เรารู้สึกเหมือนทำงานอยู่หรือเปล่าหนอ แล้วก็พบว่าชีวิตเรานี่เหนื่อยยาก ทำงานก็ด้วยฝืนใจ ไม่ได้สบายอย่างที่เขาว่า คิดไปแล้วใจก็อยากจะสอดส่ายหาสิ่งอื่น เผื่อว่าจะทำให้เราสุขกว่านี้ แต่สิ่งไหนล่ะที่จะทำให้เราสุขได้? คนที่กล่าวคำคมอันนั้นเขาได้พบความสุขของเขาแล้ว ส่วนเรา จะทำอย่างไรหนอ จึงจะได้เจอกับไอ้ความสุข ความสบายที่ว่า?
พี่จ๋า จะว่าไปคำกล่าวนั้นก็ฟังดูเป็นแรงบันดาลใจอยู่ แต่ฟังแล้วก็ใคร่จะต้องไว้หูข้างหนึ่งด้วย พี่ว่าพี่ไม่มีความสุขกับงานที่ทำ เพราะงานที่ทำอยู่นั้นไม่ให้ความสุขกับพี่ ลองถามคำถามนี้ให้ลึกๆ สิ่งที่เรียกว่า "ความสุข" สำหรับพี่ มันคืออะไร สิ่งที่ทำแล้วออกมาสวยๆงามๆ สิ่งที่ทำแล้วผู้คนเขาชอบใจ สิ่งที่ทำแล้วได้เงิน สิ่งที่ทำแล้วสบาย สิ่งที่ทำแล้วตัวเองได้เติบโตจากภายใน สิ่งไหนจ๊ะ?
ในงานทุกชนิดมันมีความเหนื่อยยากทั้งนั้นแหละจ้ะ ค่าตอบแทนที่เป็นเงินอาจเป็นแรงผลักดันให้รู้สึกว่าที่เราทำไปมันคุ้มค่า คุ้มเวลา แต่แรงบันดาลใจคือสิ่งที่ทำให้คนก้าวพ้นเหนือไปจากความเหนื่อยยากนั้น ทำให้คนทุ่มเทโดยไม่เกี่ยงงอนในเรื่องค่าตอบแทน คนจะมีแรงบันดาลใจได้ก็ต่อเมื่อมองเห็นคุณค่าของงานที่ทำ คุณค่านั้นมองง่ายๆคือ สิ่งที่ทำให้ตัวเราและเพื่อนมนุษย์เจริญเติบโตและพัฒนา อาจจะเป็นการพัฒนาทางวัตถุ ทางความคิด หรือทางจิตใจ พี่ลองมองดูสิจ๊ะ ว่างานที่ทำแล้วสบายนั้น ให้คุณค่าอย่างที่กล่าวมานี่ไหม?
ไม่เพียงแต่คุณค่าของงาน ที่สำคัญต่อมาคือต้องมองเห็นคุณค่าของตัวเองด้วยจ้ะ มีคนกล่าวไว้ว่า ชีวิตคนก็เหมือนกับแสงเทียน เมื่อถูกจุดสว่างแล้ว วันหนึ่งก็ต้องดับไป แต่ในขณะที่เรามีแสง ทำไมไม่ทำให้แสงของเราโชติช่วงที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ล่ะจ๊ะ? ใช้กำลังสมอง กำลังกาย กำลังใจที่มีส่องตัวเองให้สว่าง สิ่งที่มืดรอบด้านก็จะพลอยสว่างไปด้วย เราอาจจะไม่ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสายอาชีพในวันนี้ แต่ต้องให้แน่ใจว่า ณ ตำแหน่งที่ยืน เราได้ใฝ่พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว
การเรียนรู้จากงานคือสิ่งที่ทำให้เราเติบโตจ้ะ จุดที่เหนื่อยยากที่สุดของงานนั้นแหละ คือจุดที่เราจะได้ส่องสว่างที่สุด เมื่อส่องสว่าง เราก็มีความสุขได้จากภายใน โดยที่ไม่ต้องสอดส่ายหาจากที่ใดอื่น
พี่จ๋า พี่เห็นเหมือนหนูไหมจ๊ะว่าคำว่า "ความสุข" จากภายนอกนั้นมันเลือนรางเหมือนกับม่านหมอก เราไปจับต้องมันไม่ได้ เมื่อมีสุขโดยไม่มีที่มาได้ ก็ไร้สุขโดยไม่มีที่ไปได้เช่นกัน แต่คุณค่าเป็นสิ่งถาวรจ้ะ เมื่อตระหนักได้แล้ว มันก็ไม่หนีไปไหน พอมีคุณค่ามั่นคงอยู่ในใจ เราจะไม่มาคร่ำครวญถามถึงความสุขเลยจ้ะ เพราะคุณค่านั้นมันลึกล้ำกว่าความสุขมากมายนักเทียว.
Subscribe to:
Posts (Atom)