Sunday, July 09, 2006

เสือ




ฉันโทรไปหาลีขณะกำลังรอรถไฟ มีเรื่องด่วนจี๋สำคัญนักจะต้องบอกกล่าว รอไม่ได้ อีกสิบห้านาทีก็รอไม่ได้ ลีกลับไม่สนใจฟัง จะรีบไปๆ แค่นี้นะ เดี๋ยวเจอกัน บาย

ฉันกระแทกหูโทรศัพท์ลงด้วยความฉุน นึกในใจ ทำไมไม่รู้จักฟังเลยนะ คนอะไร เรามีเรื่องด่วนเรื่องสำคัญ จะหยุดฟังเสียหน่อยก็ไม่ได้ เอาแต่พูดอยู่คนเดียว บทอยากจะวางก็วาง ไม่คิดว่าธุระคนอื่นสำคัญบ้างหรือยังไง?

รถไฟมาเทียบจอดแล้ว ฉันก้าวเข้าไปนั่ง ใจร้อนรุ่มเรื่องลีกับโทรศัพท์ นึกโกรธโทษด่าอีกฝ่าย แหมทำให้เราฉุนเกรี้ยว คนอะไรไม่รู้จักนึกถึงใจคนอื่น นึกๆไปหน้าก็ร้อนผ่าว หัวใจเต้นตุบๆ รู้สึกเหมือนเลือดมันเดือดมันร้อน ใจจะระเบิด ไม่สบายตัวเลย

เออ นี่แหละหนอความโกรธ มันมาแล้ว สังเกตุเห็นแล้ว...

สังเกตุเห็นแล้วก็อยากจะหยุดใจที่มันร้อนเร่าๆ สมองที่มันนึกถึงแต่จะร้องกรี๊ดๆ ทำไมไม่ฟังฉันบ้างๆ วันนี้เป็นวันดี ทำไมต้องมารู้สึกแบบนี้หนอเรา นึกแล้วก็อยากจะเปลี่ยนความรู้สึกที่เป็นอยู่ในขณะ

หายใจเข้ายาว หายใจออกยาว นับหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า .... แหม แค่นี้ไม่หยุดฟังเลย ถ้าเป็นตัวเองเจอไม่ฟังแบบนี้บ้างจะโกรธไหม? อ้าว นึกไปๆย้อนกลับมาฉุนอีก วนเวียนไม่ไปไหน นับเลขก็ไม่หาย หายใจเข้าออกก็ไม่หาย เปลี่ยนเรื่องนึก นึกเรื่องที่เป็นมงคล...

นึกถึงอะไรดี... นึกถึง... โทรศัพท์ วางหูแล้วไปแล้วร้องกรี๊ดๆ จะทำให้หายโกรธไหมนี่? อ้าว ไหนว่านึกเรื่องที่เป็นมงคลไง กลับเวียนมานึกแต่เรื่องเดิม เรื่องที่ทำให้ใจรุ่มๆ

ความโกรธนี้มันเหนียว เกาะติดแน่นยังกับตีนตุ๊กแก ดุโฮกๆ เหมือนเสือ โผล่ขึ้นมาไม่รู้เนื้อรู้ตัว นั่งอยู่เฉยๆก็โผล่ผางออกมา ทำให้เราเป็นเหยื่อ ตกเป็นทาสความฉุนเฉียวราวกับมีเสือร้ายอยู่ในใจ

เอาละ ไอ้เสือร้าย มา! ฉันจะทำให้แกเชื่องให้ได้

หลับตานึกถึงเจ้าเสือ โผล่มาโฮกๆ แยกเขี้ยวยิงฟัน ฉันยื่นมือออกไป ลูบหัวดูหน่อยเป็นไง จะย่อมเชื่องลงไหม? แล้วฉันก็ลูบหัวมัน ลูบ ลูบ เจ้าเสือเอียงหัวให้ลูบ ทำหน้าเคลิ้มเหมือนเจ้าบิสกิตหมาข้างบ้าน แล้วเจ้าเสือก็หมอบ ลายพาดกลอนน่ากลัวก็หายไป เห็นเป็นขนเรียบนุ่มสีครีม เหมือนเจ้าบิสกิตยังไงยังงั้น... บิสกิต แกน่ารักจัง

กลับมาสังเกตตัวเองซิ ความโกรธมันหายไปไหนแล้วเนี่ย? ใจร้อนกลุ้มรุ่มผ่าวในทีแรกก็กลับเย็นเป็นปกติ หน้าตึงบึ้งบูดก็คลายลง ยิ้มได้อยู่คนเดียว

อารมณ์คนเรานี้หนอ โผล่พรวดมาแล้วบทจะดับก็ดับลงภายในพริบตาได้เหมือนกัน เพียงแค่รู้วิธีเผชิญหน้ากับมัน แผ่เมตตาให้กับอารมณ์ร้ายๆของตัวเอง ฉับพลันร้ายก็กลายเป็นดีไปได้ไม่รู้ตัว เหมือนน้ำดับไฟยังไงยังงั้น

เดี๋ยวอีกสิบห้านาทีลงรถไฟก็จะเจอลีแล้ว เดี๋ยวจะเล่าเรื่องนี้ให้ลีฟัง แล้วฉันก็นั่งยิ้มกริ่มไปตลอดทาง.

Friday, June 16, 2006

Florida



หวัดดีจ้ะ

กลับมาจากฟลอริดาแล้ว ทริปนี้เหนื่อยมาก วันแรกตื่นแต่ตีห้าไปสนามบิน ถึงสนามบินหกโม
งเห็นคนต่อคิวยาวเหยียด ตุ๊มๆต่อมๆว่าจะขึ้นเครื่องไม่ทัน ปรากฏว่าขึ้นไม่ทันจริงๆ ก็ต้องรอรอบต่อไปสิบโมง นึกได้ว่าไม่ได้เอาพาสปอร์ตมา โมโหตัวเองทำไมโง่อย่างนี้ นั่งรถไฟกลับบ้านไปเอา ลีรอเงกอยู่ที่สนามบิน สองชั่วโมงต่อมาก็มาต่อคิวยาวเหยียดอีก เฉียดจะไม่ทันอีกแต่ก็ทันจนได้

ไปถึงไมอามี่ก็เที่ยงบ่าย ไปเช่ารถ ขับไปซื้ออาหารขนมมาตุน กระดาษวาดรูป แวะกินข้าวกลางวัน ไปถึงโรงแรมที่ คีย์ ลาร์โก้ ก็หกโมงเย็น สลบเหมือดตั้งแต่นั้น ตื่นมาอีกทีก็วันใหม่เรียบร้อยแล้ว เป็นอันว่าวันแรกของการเดินทางหมดไปกับการเดินทางจริงๆ ไม่ได้เอ็นจอยอะไร เห็นแต่ไมอามี่  ส่วนชานเมืองแถวสนามบิน ซึ่งดูแล้วคล้ายๆเมืองไทย คือยุ่งๆเหยิงๆ ร้อนอบ เหนียว ตึกรามบ้านช่องไม่ค่อยจะเป็นระเบียบเรียบร้อย โผล่นู่นโผล่นี่มาแบบไม่มีการแปลนมากเท่าไหร่ ลีบอกว่าการแปลนส่วนมากอยู่ที่การเอ็นจิเนียร์เมือง เพราะเมืองทั้งเมืองมันเป็นบึง ที่ๆคนอยู่ส่วนมากเกิดจากการถมที่ เขาทำระบบคลองชลประทาน ขุดหนองบึงไว้ให้น้ำลง เพื่อให้เกิดเป็นแผ่นดินแห้ง คนอยู่ได้ มิน่า ที่ถึงแพง กว่าจะเป็นเมืองได้ เสียค่าถมค่าขุดกันอาน

ที่ฟลอริดานี้มีพวกคิวบาอยู่มาก เดินตามถนนนี้เหมือนไปประเทศอื่น คนส่วนมากพูดเสปน หาคนพูดอังกฤษต้องใช้ความพยายาม นี่ก็เป็นปัญหาเรื่องอิมิเกรชั่นของทางนี้ ภาษาสเปนเริ่มบุกเข้ามาเป็นภาษาราชการมากขึ้นทุกทีๆ สนามบินประกาศก็ต้องประกาศสองภาษา คนพูดกันไม่รู้เรื่องมากขึ้นทุกทีๆ

วันต่อมาขับรถไปดำน้ำสนอร์กเกิ้ลตามอ่าวในคีย์ ลาร์โก้ แต่มรสุมมันมา ฝนตกพรำ น้ำขุ่นไปหมด ลีบอกว่า คีย์ เวสต์ สวย ก็ขับรถกันไปดู ไหนๆดำน้ำไม่ได้ ขับรถชมวิวน่าจะสนุกกว่า ภูมิทัศน์แถวนี้เป็นทะเลหญ้า ป่าโกงกาง เกาะต่างๆ (ที่เขาเรียกว่าคีย์) เชื่อมต่อกันหมดด้วยถนนหมายเลขหนึ่ง ไปสุดกิโลเมตรที่ศูนย์ที่ คีย์ เวสต์ ปลายแหลมสุดของฟลอริดา ยื่นขั้นระหว่างแอตแลนติคกับอ่าวเม็กซิโก

เจอทะเลสวยตามทางก็หยุดชมวิว วาดรูปกัน ลูกเห็นปลาพยูนตัวนึงลอยขึ้นมา ใกล้เชียว ตะโกนเรียกลีให้มาดู ลีมาไม่ทัน มันก็ดำดิ่งหนีไปเสียแล้ว ตัวเทาๆ อวบๆ เหมือนหมูผสมปลาวาฬ น่ารักมาก มีเพรียงเกาะหลังเป็นวงๆ

ระหว่างลีนั่งวาดรูปวิว ลูกก็เดินเล่นชายน้ำ อยู่ดีๆก็มีปลาตัวนึงโดดเด้นผลุงขึ้นมา แล้วมานอนดิ้นแผล่บๆตรงหาดหิน ทำตัวพองเข้าพองออก เลยเห็นว่าเป็นลูกปลาปั๊กเป้า สงสัยมันตกใจลูกเดินไปแถวๆที่มันลอยน้ำอยู่ โดดเด้งด้วยความตกใจสุดขีด ปรากฏว่าโดดผิดทาง มาติดฝั่ง โง่แท้ๆ ลูกกับลีต้องหยิบมันลงน้ำไป เซ่อๆซ่าอยู่อีกซักพัก ถึงเริ่มขยับครีบได้ ลอยตุ๊มๆออกไป

ทะเลหญ้านี้มีความหลากหลายทางชีวภาพมากจริงๆ นั่งๆอยู่เดี๋ยวก็มีปลากระเบนลอยพือเข้ามา มีปลิงทะเล (ของโปรด) ปลาผีเสื้อลายดำขาว ตัวเล็กๆ เอาไม้ไปเขี่ยปลิงเล่น มันหดตัวเสียน่าเกลียดเชียว

ระหว่างทางนั่งรถลูกผ่านคีย์(เกาะ)ไปหลายคีย์ ถนนสายเดียวนี้มองเห็นทะเลสองด้านเลยซ้ายขวา งามมากๆ งามแบบป่าชายเลน ขับเรื่อยๆน้ำก้เริ่มเขียวมรกตขึ้นเรื่อยๆ ไปถึงคีย์ เวสต์ ก้เกือบค่ำมืดแล้ว (สองทุ่ม แต่ทางนี้ยังมีแสงแบบห้าโมงเย็น) เมืองน่ารักมากจ้ะ ถนนเล็กๆ สองข้างทางเป็นบ้านไม้ก่ายเกลื่อน เป็นบ้านแบบวิคตอเรียน ที่ฮิตอยู่สมัย ร.ห้า สีขาว สีชมพู สีฟ้า สีเขียวอ่อน หลังเล็กๆ มีระเบียงรอบบ้าน ไก่กระต๊ากเดินเป็นฝูงตามถนน ลั่นทม พุด เฟื่องฟ้า มะลิ มองไปทางไหนก็เห็นต้นไม้ดอกไม้แบบเมืองไทยไปหมด โอว นี่หรือ อเมริกา พาราไดซ์ชัดๆ จะว่าไปก็คล้ายๆเชียงใหม่ตรงถนนหนทางบ้านเรือน มีป่าโกงกางแบบสงขลา และมีทะเลแบบภูเก็ต มีเกย์เยอะมาก พวกคนแบบว่าศิลปิน แบบโบฮีเมียนชอบอยู่

เกสต์เฮาส์ร้านรวงหลายแห่งเขามีป้ายบอกว่าลุงเออร์เนส เฮมิงเวย์เคยมาอยู่ เคยมากิน เคยมานอน มาอยู่มานอนกี่ปีๆเขาก็เคลมกันสนุกสนาน ร้านนึงลูกเข้าไปฉี่เขาบอกว่าเฮมิงเวย์เคยมาอยู่พักอยู่ระหว่างเขียนเรื่อง The Old Man and the Sea เดาว่าคนมาพักที่นี่คงจะมารออินสไปเรชั่นแบบเฮมิงเวย์กันนับไม่ถ้วน

นอนค้างที่คีย์ เวสต์หนึ่งคืน ทุกอย่างแพงมาก อาหารแพงหูฉี่ กะจะล่อล๊อปสเตอร์เสียหน่อยกลับไม่มี ไม่ใช่ฤดู เลยอด

เดินไปเดินมาเขียนรูปได้สองรูปก็ต้องกลับไปคีย์ ลาร์โก้ เพราะข้าวของอยู่นั่นหมด (ไม่ได้กะจะค้างคีย์เวสต์ แต่มันดึกเลยต้องค้าง) ขากลับก็แวะเก็บปะการัง ฟองน้ำตามชายหาด ชายหาดแถวนี้เหมือนทะเลสาบสงขลา นราธิวาส มีบ้านชาวประมง ผสมบ้านพักบังกะโลโผล่อยู่ตามฝั่ง

ขับรถบนถนนสายนี้เหมือนวิ่งฝ่าทะเล ถนนแคบๆ ทะเลสองข้างอยู่ใกล้มาก เย็นย่ำแล้วเวิ้งว้างนัก

วันต่อมาก็ต้องกลับแล้ว ระหว่างทางแวะไปป่าสงวนแห่งชาติ เอเวอร์เกลดส์ ที่พ่อว่ามีไอ้เข้อยู่ในบึง ก็ป่าชายเลนนี่นะ มีปลาหลายชนิด ตัวเบ้งๆทั้งนั้น นกเยอะแยะ หญ้ากก หญ้าจูด ขึ้นสุดลูกหูลูกตา เขามีสะพานไม้ให้เดินดู ลูกเห็นไอ้เข้ห้าตัว (ไม่ได้เห็นพร้อมกันทีเดียว เห้นทีละตัว) นอนหย่อนใจตามใต้พุ่มไม้ ดูเก่าแก่ดึกดำบรรพ์ น่าเกลียดมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นไอ้เข้จริงตามธรรมชาติ ที่ไม่ใช่สวนสัตว์ หยึ๋ยบอกไม่ถูก...

เวลามีน้อยเหลือเกิน ดูได้แผลบๆก็ต้องกลับเสียแล้ว แต่เห็นว่าเขามีที่ให้แค้มปิ้งได้ คราวนี้มาเสียท่า จองโรงแรมแพงอยู่ด้วยความกลัวไม่มีที่พัก ปรากฏว่ามาแล้วเจอที่พักน่ารักๆเพียบ ถูกกว่าโรงแรมด้วย ถ้ามาคราวหน้าคิดว่าจะพักเต๊นท์ มาที่นี่เหมือนกลับบ้านไงงั้นเลย ขากลับเจอสวนลิ้นจี่ ! บ้านนึงเขากำลังเก็บใส่ลัง แต่แบ่งขาย เลยขอซื้อมาหน่อยนึง โอ... นึกว่าอยู่เชียงใหม่ แง คิดถึงจัง....

ลูกเอง
เภา

Saturday, March 04, 2006

ฟังดนตรีเถิดชื่นใจ



โดย เภา

ฟังดนตรีเถิดชื่นใจ (1)

เคร่งกับเรื่องงานกับเรื่องการเมืองมามาก อาทิตย์สองอาทิตย์นี้ขอพักไปหลบฟังเพลงเสียหน่อย อซูร่าชวนฉันไปดูคอนเสิร์ตร๊อคหูเหล็กเมื่อศุกร์ที่แล้ว รู้สึกกระชุ่มกระชวยดี ไปดูวงดนตรีสาวสี่คน นักร้องนำเซ็กซี่โยกเอวส่ายตะโพก กรีดร้องสุดเสียง ชีวิตนี้พลีเพื่อ Led Zeppelin

เคยเห็นนักร้องพลีชีวิตเพื่อราชาเอลวิสมาก็มาก นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นวงดนตรี cover สาวที่พลีชีวิตเล่นเพลงของเพศตรงข้าม แม้เราเกิดมาไม่เคยคิดจะฟังหรือเป็นแฟนเพลง Led Zeppelin มาก่อน แต่เห็นแม่นักร้องนำกรีดร้องเกรี้ยวกราดในแบบของเธอ ก็อดทึ่งไม่ได้

ร๊อคชนิดนี้มันไม่ใช่ร๊อคเล็กๆ แต่เป็นร๊อคแบบถึงลูกถึงคน ดูแล้วก็ขำดี เป็นเพลงของคนวัยหนุ่มกำลังตกมัน โกรธเกรี้ยวโกรธาในความเยาว์เขลาทึ่ง ก็มาแผลงฤทธิ์ให้กับอิสระในดนตรี Led Zeppelin ตัวจริงแก่หงำเหงือกไปแล้ว สาวๆกลุ่มนี้ก็กระชากความอมตะของเลือดหนุ่มกลับมา ให้ลุงๆน้าๆมาร่วมย้อนหลังเอนจอยอารมณ์ร๊อค นำรสชาติตกมันกลับมาสู่ชีวิตวัยคล้อยบ่ายอีกครั้ง

ลีลาของสาวๆบนเวทีก็ร้ายกาจแท้ นักร้องนำอายุสักยี่สิบกว่า ใส่เสื้อโปร่งเซ็กซี่เปิดสะดือ ผมยาวดำสะบัดได้ถึงวิญญาณร๊อคดีแท้ ลีลากรีดร้องและส่ายตะโพกของเธอสะบัดช่อดีนัก แม่ลีดกีตาร์อายุมากหน่อย บทบาทการเล่นโชว์ก็ก๋ากั่นไม่แพ้กัน เอาคันไวโอลินมาสีกีตาร์ ปาดแต่ละทีสร้างเสียงอันหลอกหลอน ราวปลุกข้าวสารเสก ส่วนมือกลอง ขนาดของเธอใหญ่โตมาก พลังช้างสารในการฟาดกลองโครมครามไม่น่าแพ้ Led Zeppelin ตัวจริง ที่จืดหน่อยคือกีตาร์เบส เธอมาในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ธรรมดา ยืนดีดของเธอเงียบๆในมุมมืด แต่ก็พอให้อภัยได้เพราะเธอก็เล่นออแกนได้หลอกหลอนไม่แพ้มือกีตาร์

ดีดดิ้นไปกับคลื่นคน เราอดย้อนนึกถึงชีวิตนักเรียนไม่ได้ สมัยไปเป็นกรุ๊ปปี้เกาะเวที ไปดิ้น ไปกรี๊ดให้พวกหนุ่มๆเพื่อนๆที่ชอบเป็นดาราออกอาการร๊อค งานใต้ตึกที่คณะมันอารมณ์เดียวกันนี้เลย

หลังคอนเสิร์ตเลิก ร่างกายมันเหนื่อยปวกเปียกอย่างบอกไม่ถูก อยากจะล้มตัวนอน ณ บัดนั้น หูแทบใช้การไม่ได้ นั่งรถกลับบ้านลีเปิดวิทยุเจอเพลงร๊อคน้องๆ Led Zeppelin เปลี่ยนคลื่นหนีกันแทบไม่ทัน.

___________________________________________________

ฟังดนตรีเถิดชื่นใจ (2)

หูเหล็กไปเมื่อศุกร์ที่แล้ว วันศุกร์ (สุข) นี้ไปลิ้มความคลาสสิคดูบ้าง ไปกับอซูร่าอีกตามเคย คราวนี้ไปที่หอสมุดแห่งชาติ

ทุกวันศุกร์ในฤดูหนาวที่หอสมุดนี้เขาจะมีคอนเสิร์ตให้ไปฟังไปชมฟรี มีความศรีวิไลซ์จากวัฒนธรรมต่างๆมาให้เคลิบเคลิ้มกัน คอนเสิร์ตคราวนี้เป็นนักร้องกลุ่ม มาจากประเทศสวิส ชื่อ Ensemble Corund เพลงที่เขาแสดงเป็นเพลงแบบ อแคพเพลล่า คือร้องดิบๆ ไม่มีเครื่องดนตรี กลุ่มนี้มีคนร้องประมาณสิบคน กับอีกหนึ่งคอนดักเตอร์

เพลงที่เขาแสดงนี้เป็นอแคพเพล่าทั้งร่วมสมัยและแบบโบราณ บางเพลงเก่าสองสามร้อยปี ส่วนมากเป็นเพลงที่ได้แรงบันดาลใจจากงานบรรยากาศของบทละครเชคเสปียร์ คนร้องยืนร้องเหมือนประสานเสียง ทุกคนก็มีบทบทเสียงที่สูงต่ำต่างๆกันไป ผลัดกันนำผลัดกันรับ บางเพลงมีเนื้อร้อง บางเพลงมีแต่เสียงฮัม

เว้ากันซื่อๆแบบคนไม่เคยฟังมาก่อนและไม่มีความรู้เกี่ยวกับเพลงคลาสสิคมากนัก เพลงพวกนี้ไม่ได้มีความไพเราะแบบที่เราคุ้นๆกัน ไม่มีจังหวะที่แน่นอนชัดเจนแบบเพลงลีลาศ ไม่ได้รื่นหูชวนให้เคลิบเคลิ้มหลับไหลเหมือนเพลงโรแมนติก ไม่ได้สง่างามเหมือนเพลงสำหรับเทศกาล โน๊ตแต่ละตัวไม่ได้ลงในคีย์ที่เราได้ยินจากเครื่องดนตรี เขาเล่นเสกลเสียงที่อยู่ระหว่างตัวโน๊ตสองตัว บางทีฟังดูเหมือนเพี๊ยนๆ แต่เป็นความเพี๊ยนที่ตั้งใจ บางทีเดาไม่ถูกว่าคนร้องจะพาเราไปไหน

เหมือนเรากำลังผจญภัยไปในภาพที่สร้างจากเสียง เป็นบรรยากาศแบบกลางคืนในฤดูร้อน มีเสียงจั้กจั่นเรไร เสียงนก เสียงกล่อมเด็ก เสียงลมต่างๆนาๆ คาดเดาไม่ถูกว่าอะไรจะมาเมื่อไร อารมณ์ต่างๆในดนตรีมีความละเอียดอ่อนมากกว่าอารมณ์ที่เราจำกัดความด้วยคำพูดมากนัก.

http://www.corund.ch/en/audiofiles.htm

Saturday, January 07, 2006

กรีซ 1







โดย ส. สนิทนึก

ตอน: พาเธนอน

วิหารพาเธนอนในความรู้สึกแว่บแรกของฉันนั้นคล้ายกับภาพวาดโมนาลิซ่า ที่ว่าคล้ายก็คือความงามความยิ่งใหญ่นั้นถูกเล่ากล่าวมานานนัก ในตำราว่างามไม่มีที่ติ คนเคยเห็นก็บอกว่าเป็นสิ่งศรีวิไลที่สุดสิ่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติมนุษย์ บางคนบอกว่าคือความมหัศจรรย์อันสมบูรณ์แบบ บางคนบอกว่าคือสรวงสวรรค์

ฉันยืนอยู่บนยอดเขาหินอะโครโพลิส (Acropolis) กลางเมืองเอเธนส์ ทั้งๆที่มหาวิหารตั้งอยู่ตรงหน้านี้ แต่ไม่รู้จะเริ่มมองความงามที่ตรงไหน เพราะในหัวมีคำกล่าวของชาวบ้านฝังหนาเป็นนิ้วๆ หนาจนยากจะฝ่ามองด้วยตาตัวเองสดๆ ที่เห็นก็คือเสาหินมหึมาที่เคยกลิ้งหลุนๆอยู่ตามพื้นจากรูปในหนังสือ ตอนนี้ถูกบูรณะไปวางต่อกัน เรียงเป็นเสาที่สมบูรณ์ รูปปั้นหน้าจั่วที่สาบสูญด้วยถูกชาติอื่นแย่งชิงไปก็ถูกก๊อปปี้ขึ้นมาใหม่ จากซากปรักหักพังที่แทบไม่มีอะไรเหลือให้ดู ก็กลายเป็นร่องรอยของอดีตที่ถูกร่างให้พอจะเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น

จากที่รู้มา วิหารพาเธนอนนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อสี่ร้อยกว่าปีก่อนคริสตกาล ว่ากันว่าสร้างขึ้นเป็นที่บูชาเทพีอาเธนา (Athena) ผู้ปกปักษ์รักษากรุงเอเธนส์ และนอกจากนั้นก็ใช้เป็นท้องพระคลังของเมืองด้วย ด้วยยืนผ่านกาลเวลามาสองพันสี่ร้อยสี่สิบกว่าปี วิหารแห่งนี้ถูกครอบครองเปลี่ยนมือจากกลุ่มคนหลายเชื้อชาติด้วยกัน เริ่มจากพระเจ้าไซโมน (Cimone) กษัตริย์ชาวกรีกเป็นผู้สร้างเมื่อ 439 ปีก่อนคริสศรรตวรรษ โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมดสิบห้าปี อีกแปดร้อยกว่าปีต่อมา ในปี ค.ศ. 450 วิหารนี้ถูกเปลี่ยนโฉมหน้าให้เป็นโบสถ์คริสเตียน รูปปั้นเทพปกรนัมต่างๆถูกปลดริบออกเกือบหมด รูปหล่อบรอนซ์อันสมบูรณ์แบบต่างๆถ้าหากไม่ถูกหลอมทิ้งมาแปลงเป็นอาวุธก็หล่นหายกลางทะเลระหว่างพวกทหารโรมันเดินเรือไปยังเวนิส(ในปัจจุบันคือประเทศอิตาลี) อีกพันกว่าปีล่วงมา พวกเติร์กครอบครองดินแดนนี้ และได้เปลี่ยนวิหารนี้เป็นสุเหร่าของพวกตน ต่อมาในสงครามต่อสู้กับพวกเวนิสประมาณปี ค.ศ. 1600 พวกเติร์กใช้วิหารพาเธนอนนี้เป็นคลังเก็บระเบิดและอาวุธ แต่วันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุระเบิดลั่น วิหารพังแทบไม่เหลือ และด้วยความไม่รู้ค่าพวกเติร์กได้นำรูปแกะสลักเทพบางรูปที่ยังหลงเหลืออยู่ไปขายทอดให้กับชาติอื่นเสียเกือบสิ้น ต่อมาภายหลังที่ชาวกรีกได้รวมกันเป็นชาติกรีซ มหาวิหารแห่งนี้ก็ยับเยินเสียไม่มีชิ้นดี ไม่รู้นานเท่าไรจึงจะซ่อมเสร็จ

หลังจากที่พอจากแหวกม่านความคิดของคนอื่นออกมาได้บ้าง ฉันก็พอจะเห็นว่าความมหึมาของวิหารหินอ่อนแห่งนี้ ไม่ได้สร้างความรู้สึกหนักทึบหรือน่าเกรงขามแก่ผู้ดูชม ตรงกันข้าม กลับให้ความรู้สึกเชื้อเชิญให้เมียงมอง ให้พินิจดู ทั้งโครงสร้างและรายละเอียด สัดส่วนที่งามอย่างที่เรียกกันว่า "สัดส่วนทอง" เป็นความศรีวิไลทางการคำนวณอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นความรู้ที่กรีกโบราณได้ค้นพบ รายละเอียดของเหลี่ยมมุมและตัวเสา สร้างความรู้สึกเบาเหมือนลอยได้ ทั้งๆที่ตัววิหารนี้ทำจากหิน หลักฐานจากรูปสลักสีต่างๆในมิวเซียมทำให้เข้าใจว่าวิหารหินปูนสีขาวนี้ แต่เดิมไม่ได้เป็นสีขาว แต่เป็นสีต่างๆทั้งภายนอกภายใน ซึ่งแต่โบราณใช้วิธีลงสีแบบปูนเปียก(fresco)

ตามหลักฐานโบราณ เขาว่าในตัววิหารนี้เคยมีรูปหล่อเทพีอาเธนาอยู่ เป็นรูปหล่อจากทองแท้ๆและประดับด้วยงาช้าง สูงขนาดประมาณตึกสามชั้น ปัจจุบันไม่มีใครรู้ว่าเทพีนี้หายไปเมื่อใดและไปอยู่ที่ไหน คาดว่าทองจำนวนตันๆคงถูกนำมาหลอมใช้จ่ายในสงครามสมัยใดสมัยหนึ่ง

มิวเซียมทางด้านหลังของวิหารนั้นเป็นที่เก็บรูปสลักต่างๆที่ขุดเจอโดยรอบ รูปสลักต่างๆในมิวเซียมเป็นของจริง ส่วนรูปสลักที่เห็นบนยอดหน้าจั่วกับตัวเสานั้นเป็นรูปหล่อก๊อปปี้ เห็นดังนี้ก็เป็นที่น่าเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงไม่เอาของจริงมาไว้ที่ตัววิหาร เพราะถูกถล่มถูกขโมยมานับครั้งไม่ถ้วน อดีตที่มีค่าก็ต้องเอามาเก็บไว้ไม่ให้ใครแตะต้อง ไม่ให้ไปกรำแดดกรำฝนอีกต่อไป

รูปสลักหน้าจั่วที่ยังพอเหลือให้ดูก็เป็นเรื่องราวจากตำนานปรัมปราเกี่ยวกับเทพต่างๆที่สู้รบกับยักษ์ คล้ายๆรามายณะของทางอินเดีย หรือรามเกียรติ์ของไทยเรา ที่มีพระรามพระลักษณ์สู้รบกับยักษ์กรุงลงกา เห็นอย่างนี้แล้วก็พอจะเชื่อมจุดประวัติศาสตร์ความเชื่อได้ลางๆ ว่าเรื่องเทพต่อสู้กับยักษ์ของทั้งสองวัฒนธรรมนี้คงเป็นเรื่องราวที่มาจากแหล่งความเชื่อเดียวกัน ที่เชื่ออย่างนี้ก็เพราะชนชาติกรีกโบราณนั้นมีสายหลักที่อพยพมาจากสายอินโด-ยูโรเปียน ซึ่งก็คือสายเดียวกับพวกที่อพยพลงไปยังอินเดียนั่นเอง ที่เห็นได้ชัดอีกอย่างคือภาษากรีกหลายคำมีเสียงและความหมายคล้ายกับภาษาสันสกฤตมาก คงไม่ผิดที่จะตีความว่ารากของความเชื่อทั้งสองชนชาตินี้มาจากที่เดียวกัน

รูปแกะสลักหลายๆชิ้นในมิวเซียมนี้ส่วนมากใหญ่โตและน่าทึ่งมาก งานแกะสลักนูนสูงรูปพญาสิงห์ตะปบลูกวัวนั้นน่ากลัวนัก ทั้งกล้ามเนื้อและกรงเล็บ ความเขม็งเกรี้ยวของท่าทางทำให้รู้สึกขนลุกขึ้นมาได้ อีกรูปที่เห็นแล้วตัวชาคือนางเมดูซ่าสาปให้ยักษ์กลายเป็นหิน ตัวนางเมดูซ่ามีงูร้อยม้วนเป็นพัสตราภรณ์ ยืนสาปด้วยกิริยาเย็นเฉียบ ช่างฝีมือเอกที่รับงานนี้คงเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในปฐพีทีเดียว เพราะสามารถดึงความลับในจิตใจมนุษย์มาใส่ในรูปที่ตัวปั้นได้

ยังมีรูปแกะสลักหินอ่อนชิ้นอื่นๆที่พลัดพรากจากวิหารนี้ไป หลายชิ้นไปตั้งอยู่ที่พิพิธพัณฑ์แห่งชาติของอังกฤษ ถือเป็นหนึ่งในคอลเล็คชั่นชิ้นเอกที่สร้างรายได้ให้กับพิพิธภัณฑ์อังกฤษเป็นอย่างมาก เหตุผลที่ของจริงระเห็จไปอยู่อังกฤษก็เพราะพวกเติร์กแงะเอาไปขายถูกๆด้วยไม่รู้ค่า แต่ก็ยังนับว่าโชคดีที่ยังหลุดรอดมาได้จากการเป็นเป้าลองกระสุนปืน หรือถูกเอาไปหั่นทำบันได!

น่าจะถือเป็นเรื่องกาลเวลาและโชคชะตาที่พัดพาไปขนาดนั้น นับเป็นร้อยปีที่อังกฤษครอบครองรูปสลักต่างๆเหล่านี้อยู่ กินเงินไปหลายหมื่นล้านปอนด์จากนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมงานอันเลิศเลอของชาวกรีก ก็เป็นธรรมดาที่ทำให้คนกรีกนั้นรู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้น อยากจะได้งานแกะสลักที่ถูกเติร์กแอบเอาไปขายกลับคืนมา มีกลุ่มคนตั้งองค์กรเพื่อต่อรองกลับอังกฤษ ไปขอเจรจาให้ส่งรูปสลักต่างๆของวิหารกลับคืน ผู้นำขององค์กรนี้เป็นซูเปอร์สตาร์หญิงคนหนึ่งของกรีซที่ใช้ความโด่งดังมีชื่อเสียงเป็นตัวสร้างกระแสชาตินิยมขึ้น สั่งสมให้ประชาชนกรีกโกรธแค้นรัฐบาลอังกฤษ มีการประท้วงแบบทั้งอ่อนและแข็ง แต่อย่างไรก็ตามทีท่าของอังกฤษก็คล้ายๆกับจะเลิกคิ้วถามว่า แล้วไงเหรอ? เรื่องมันนานนมมากแล้วนะ เท่านั้นเอง

ของบางอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป จะย้อนเข็มนาฬิกาก็คงไม่ได้ หากลองคิดดูเล่นๆอย่างนี้ ว่าถ้าอังกฤษคืนรูปปั้น พิพิธภัณฑ์ลูฟท์ในปารีสก็ต้องทำอย่างเดียวกัน ที่อื่นๆในโลกที่ได้รูปสลักจากไหนต่อไหนมา ไม่ว่าจะวิธีใดก็คงต้องส่งกลับคืนกันให้สับสนวุ่นวายไปหมด จริงอยู่ที่วัตถุทางศิลปวัฒนธรรมเป็นความภูมิใจของชาติ แต่ของชาติไหนก็ยังเป็นเรื่องถกเถียงกันไม่สิ้น

ย้อนกลับมาที่เอเธนส์ ยอดเขาหินอะโครโพลิสนี้อยู่สูงใจกลางเมือง ฉันมองไปรอบๆเห็นตึกรามบ้านช่องในเอเธนส์แผ่ไปไกลสุดลูกหูลูกตา ฝั่งหนึ่งสุดตาเห็นหุบเขา อีกฝั่งเห็นไปได้ไกลถึงฝั่งทะเลอีเจียน มองเห็นเรือเดินสมุทรอยู่ไกลลิบๆ แน่นอนที่ในสมัยโบราณยอดเขานี้จึงเป็นหนึ่งเดียวที่เล็งภัยจากข้าศึก และเป็นที่สุดท้ายที่จะถูกบุกเข้าถึง

ตีนเขานี้มีโรงละครกลางแจ้งแบบโคลอสเซียม อยู่สองโรง โรงหนึ่งมีชื่อว่า อีโรดิโอ (Irodio) ส่วนอีกโรงชื่อ ดีโอนิสซู (Dionissou) ปัจจุบันเขาก็ยังใช้เป็นที่แสดงดนตรีทุกๆฤดูร้อน น่าเสียดายที่มาฤดูหนาว ไม่งั้นคงได้นั่งฟังเขาบรรเลงเพลงที่นี่ ทางเดินรอบๆตีนเขาอะโครโพลิสนี้มีต้นมะกอกขึ้นอยู่เต็มไปหมด ถึงเอเธนส์จะเป็นเมืองใหญ่ แถบนี้ก็ยังเป็นธรรมชาติที่เขารักษาเอาไว้ได้

ขาลงจากอะโครโพลิส ฟ้าเริ่มมืด ฉันเดินลัดเลาะออกมาทางป่ามะกอกคดเคี้ยว ออกมาไกลเรื่อยจนถึงย่านตลาดนัดขายของที่ระลึก ผู้คนพลุกพล่าน เดินดูนู่นดูนี่จนฟ้ามืดสนิท มาถึงสแควร์ที่เรียกโมนาสเตอรากี มองย้อนไปยังยอดอะโครโพลิส เห็นไฟเปิดสว่าง เหมือนกับวิหารพาเธนอนลอยอยู่บนสวรรค์.

กรีซ 2


















ตอน: เอเธนส์

เอมาน่วลเพื่อนชาวกรีกโม้ว่าความภูมิใจในประวัติศาสตร์ของชาติอันยาวนานเข้มข้นแบบนี้หาได้อยู่ไม่กี่แห่งในโลก และกรีซก็เป็นหนึ่งที่เข้มข้นที่สุด ถึงขนาดที่เรียกได้ว่าถ่มน้ำลายปรี๊ดลงไปตรงไหน ขุดลงไปก็เจอของเก่าของโบราณได้ตรงนั้น

โอลิมปิคเกมส์เมื่อปี 2004 ทำให้เอเธนส์ต้องขยายเมืองเป็นอันมาก สนามกีฬาแห่งชาติถูกสร้างใหม่ให้ไฮเทคใหญ่โต มีการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินเพิ่มอีกสองสาย จากเดิมที่มีสายเดียวสั้นๆ สนามบินต่อเติมหรูหราใหญ่โต มีการต่อรถไฟฟ้าตรงดิ่งจากสนามบินเข้าเมือง สถานที่ราชการทาสีใหม่เอี่ยม เอมาน่วลบอกว่าเอเธนส์ถูกขัดสีฉวีวรรณเป็นอันมากในสามปีที่ผ่านมานี้ การจัดโอลิมปิคเกมส์นำความเจริญมาสู่เมืองได้เร็วดีจริง

รู้มาว่าระหว่างที่รัฐบาลกรีกขุดเจาะทำรถไฟใต้ดินเตรียมต้อนรับโอลิมปิคเกมส์กันจ้าละหวั่นอยู่นั้น โพรงใต้ดินหลายสายที่ขุดใหม่ก็ไปจ๊ะเอ๋กับโพรงที่เป็นท่อประปาเก่าสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ท่อประปาสมัยนั้นเป็นท่อดินเผา! วางเสียบเป็นข้อๆต่อกัน ข้อหนึ่งยาวประมาณสองฟุต แต่ละข้อมีฝาเปิดปิดด้านบนเอาไว้สำหรับเปิดมาทำความสะอาดหรือซ่อมแก้ไขเวลาท่อตัน แต่ละชิ้นมีสีวงกำกับเอาไว้ แต่ละเส้นทางเดินท่อก็ใช้สีที่ต่างกันไป ภายในตัวท่อก็ทาสีเคลือบกันซึม เรียกว่าไฮเทคมาก โพรงเก่าที่เลิกใช้แล้วบางโพรง คนโบราณก็เอาไว้เป็นโพรงเก็บขยะ ขยะที่ว่านี้คือเครื่องดินเผาที่แตกชำรุด หรือที่ใช้เบื่อแล้วก็เอามาโละทิ้ง

ภายในสถานีรถไฟใต้ดินจุดต่างๆ ทางสถานีเขาก็จัดเป็นพิพิธภัณฑ์โชว์ของโบราณที่ขุดพบ ณ จุดนั้นๆ สถานีไหนมีผนังสูงกว้าง เขาก็เปิดผนังโชว์ให้เห็นเป็นชั้นดินในยุคสมัยต่างๆที่ทับถมกันเป็นพันปี มีเครื่องหมายบอกให้เห็นว่ายุคไหนเป็นยุคไหน ทับถมอยู่นานแค่ไหน นับเป็นการให้การศึกษาแก่ประชาชนทั่วไปที่ผ่านไปผ่านมาแบบถึงเนื้อถึงตัวเลยทีเดียว

เมืองเอเธนส์นี้ถูกเหยียบย่ำด้วยเท้าจากคนหลายยุคหลายเผ่า หลักฐานที่เห็นได้ในชีวิตประจำวันก็คือสถาปัตยกรรมของหลายวัฒนธรรมที่เคยแพร่ผ่านมายังดินแดนแห่งนี้ มีตั้งแต่วิหารกรีกโบราณที่มีลักษณะเรียบสง่าอยู่เหนือกาลเวลา มีวิหารโรมันที่สร้างเลียนแบบมาจากของกรีกแต่ดัดแปลงในเรื่องของฟังก์ชั่น มีโบสถ์แบบไบแซนทีนที่มีลักษณะกลมๆป้อมๆ มีสุเหร่าของพวกเติร์ก มีตึกรามบ้านช่องแบบนีโอคลาสสิคที่สวยหวาน เอกลักษณ์ของแต่ละวัฒนธรรมที่เข้ามานี้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่ทุกวันนี้ก็อยู่รวมกันได้และถือเป็นเส้นทางประวัติศาสตร์ชาติกรีกที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย โชคไม่ดีที่เด็กสมัยใหม่ไม่ได้รับการศึกษาให้ภาคภูมิใจในเส้นทางประวัติศาสตร์ชาติตนเท่าไรนัก เพราะเกือบทุกที่ๆไปก็จะเห็นพวกกราฟิติคอยพ่นสเปรย์ทำลายตึกโบราณสวยๆ ป่าวประโคมความบ้องตื้นมือบอนของตนให้น่าเอน็จอนาจใจทุกครั้งไป

แหล่งที่ๆพอจะพ้นเงื้อมือพวกกราฟติบ้างก็พอมี อย่างแถบ โคโลนากี (Kolonaki) ที่เป็นโซนช้อปปิ้ง ศูนย์รวมแฟชั่นทั้งหลายจากยุโรปและอเมริกา ร้านรวงที่มีของดีไซน์เนอร์ดังๆ เดินดูได้เปิดหูเปิดตาความก้าวล้ำทางแฟชั่น แต่ถ้าจะซื้อของที่นี่คงทำให้กระเป๋าฉีกได้ไม่มากก็น้อย หากจะช้อปจริงๆแถวตลาดนัดใน โมนาสเตอรากี (Monasteraki) หรืออีกโซนที่เรียกว่า พลากา (Plaka) จะราคาสมน้ำสมเนื้อกว่า

ตามทางเท้าในเอเธนส์เขาจะปลูกต้นไม้เป็นจุดๆ เป็นแนวๆ ต้นไม้ที่ขึ้นง่ายและนิยมปลูกกันคือส้ม ฉันไปโชคดีที่เป็นหน้าส้มพอดี ไปไหนมาไหนก็เห็นส้มออกลูกกันกลมดิกสีสดจับใจ เต็มพุ่มส้มไปหมด น่ารักมาก บางที่ก็มีต้นมะนาวที่ออกลูกสีเหลืองอ๋อยเต็มพุ่มเหมือนกัน ด้วยความที่เคยเห็นแต่ส้มวางเป็นกองในซูเปอร์มาร์เก็ต มาเห็นต้นเป็นๆแบบนี้ก็อดดัดจริตตื่นเต้นไม่ได้ แถมอยู่ในเมืองอีกต่างหาก ลองเด็ดมาชิมลูกหนึ่ง เปรี้ยวจนหน้าเหย มิน่าเล่า มันถึงยังอยู่กันเต็มต้นอย่างนี้

เอมาน่วลพาไปเดินแถว เอริเดส (Aerides) ที่มีโรงแรมและผับบาร์กาแฟสำหรับคนบูติคที่ชอบมาสังสรรค์กัน ถนนนี้คล้ายๆกับถนนสีลมหรือหลังสวนบ้านเราในสมัยก่อนฟองสบู่แตก แต่แถบเอริเดสนี้กว้างขวางกว่ามาก แต่ละที่ก็ตกแต่งแข่งกันอย่างฟู่ฟ่าสุดขีด แม้เก้าอี้นอกร้านก็ยังเป็นเบาะโซฟา! ส่วนมากจะเป็นสีขาวหรือสีครีม คงเป็นเพราะทำให้ร้านสว่าง ที่นี่แม้อากาศจะหนาวยะเยือกเกือบศูนย์องศา คนกรีกเขาก็ยังนิยมนั่งโชว์ออฟกันนอกร้านมากกว่าในร้าน เอาท์ดอร์ฮีตเตอร์ก็เป็นของที่ทุกร้านจะขาดเสียมิได้ ฝั่งตรงข้ามมองไปเห็นวิหารพาเธนอนยามค่ำคืน สว่างไสวอยู่บนยอดเขาอะโครโพลิส ไม่ต้องเดาว่ามากินที่นี่ราคาต้องสูงแน่นอน

ผับบาร์ที่นี่นอกจากเสริฟแอลกอฮอล์แล้ว เมนูบังคับก็ต้องมีกาแฟ โดยเฉพาะ กาแฟกรีก หรือ Greek Coffee ที่มีลักษณะพิเศษอยู่ที่วิธีต้ม เขาจะใช้กาแฟป่นสดๆต้มกับน้ำในกาใบเล็กๆ จะให้หวานก็ใส่น้ำตาลกันเดี๋ยวนั้น ต้มให้ฟองฟ่อดแล้วก็เสริฟในถ้วยกาแฟใบเล็กๆ กรีกคอฟฟี่นี้เวลาชงเขาจะชงสำหรับเฉพาะคน ไม่มีการชงเยอะๆแล้วมารินแบ่งกันหลายๆถ้วย ก็ไม่ทราบแน่ว่าทำไม ทราบแต่ว่ากาแฟนี้หอมมาก และฟองกาแฟที่ลอยอยู่ทำให้การดื่มไหลลื่นนุ่มลิ้นดีมาก เวลาดื่มนี้มีข้อห้ามอย่างหนึ่งคือ ห้ามใช้ช้อนคนหรือเขย่ากาแฟให้เคล้าไปมาเป็นอันขาด เพราะผงกาแฟที่นอนก้นจะฟุ้งขึ้นมาปนกับน้ำกาแฟ คงไม่มีใครชอบดื่มกาแฟพร้อมกาก เสียอารมณ์เปล่าๆ ปกติแล้วฉันเป็นคนที่กินกาแฟแล้วเลือดพุ่งจี๊ด ตัวจะระเบิดเพราะพ่ายแพ้คาเฟอีน แต่มาที่กรีซนี้ล่อกรีกคอฟฟี่เช้าเย็นไม่มีอาการอะไรทั้งๆที่กาแฟนี้เข้มข้นมาก ก็นับว่าเป็นโชคดีอย่างหนึ่งที่ได้ลิ้มของดีแล้วไม่เป็นอะไร คาเฟ่ที่เรามานั่งตกแต่งสีส้มแดง มีโคมไฟกระดาษห้อยคล้ายๆจะยึดคอนเซปต์แบบเอเซีย คนที่มาแถวนี้ก็แต่งตัวกันเปิ๊ดสะก๊าดดี สาวๆกรีกส่วนมากตาโตคิ้วเข้มจมูกคมเหมือนรูปแกะสลักหิน สวยดี

เดินไปตามถนนมีของอร่อยอย่างหนึ่งที่ถูกและหากินง่ายเหมือนกินก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา นั่นคือ Gyro เรียกตามแบบอังกฤษก็เรียกว่า ไจโร หรือเรียกตามแบบกรีกว่า กีโร เป็นเหมือนแซนด์วิชหมูย่างใส่โยเกิร์ต แป้งแซนด์วิชเป็นแป้งแผ่นกลมๆแบนๆเรียก Pita Bread คล้ายๆแป้งนานหรือโรตีแบบแขก แต่หนากว่าหน่อย ส่วนหมูย่างนั้นย่างเป็นแบบบาร์บีคิวแนวตั้ง แต่ละร้านร้านเขาจะจะมีเตาแบบที่มีเหล็กความร้อนวางเป็นแนวตั้ง หน้าเหล็กความร้อนมีแกนแหลมๆสูงๆเอาไว้เสียบหมู หมูที่เขาใช้เป็นหมูหมักชิ้นขนาดสเต็ค เสียบทับลงไปไม่รู้กี่ชิ้น จากนั้นก็หมุนให้สุก เวลาสั่งไจโร คนขายเขาก็จะเอามีดไปปาดๆผิวของท่อนหมูมหึมาที่หมุนได้นี้ หล่นลงมาเป็นชิ้นเล็กๆ คลุกเคล้ากับน้ำมันจากหมูย่างที่หยดลงมา แล้วก็รวบรวมมายัดๆใส่ในพีต้า เบรด พับครึ่ง หั่นมะเขือเทศใส่ลงไปสองสามชิ้น ปาดโยเกิร์ตลงไป บางที่เขาจะเสียบเฟรนช์ฟรายส์มาให้ด้วยสองสามชิ้น ท่อนหมูที่เขาหมุนนั้นก็หมุนไปปาดขายไปได้ทั้งวัน ตามร้านไจโรทุกที่นอกจากไจโรแล้วเขาก็จะมีหมูย่างก้อนๆเสียบไม้เรียกว่า Suvlaki อ่านว่า ซูฟลากี ไม้หนึ่งมีหมูประมาณสี่ห้าก้อน จิ้มกินกับโยเกร์ต กินสองไม้ก็อิ่มแปร้

ระหว่างที่เดินไปไหนมาไหนฉันมักจะสังเกตป้ายตามทางเอาไว้เผื่อหลง เห็นว่าภาษากรีกอ่านไม่ค่อยยากเพราะมีตัวอักษรแบบภาษาอังกฤษอยู่หลายตัว บางชื่อก็พอเดาๆได้ แต่ที่ทำให้สับสนอยู่บ้างคือตัวอักษรบางตัวที่ต่างไปจากภาษาอังกฤษโดยสิ้นเชิง เช่นที่เห็นเขียนเป็นตัว B ภาษากรีกจะออกเสียงแบบ V ที่เห็นเป็นตัว ^ หรือวีคว่ำออกเสียงเป็นตัว L ส่วนที่เห็นตัว H ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าจะต้องออกเสียงเป็นตัว I ที่เห็นเป็น X ออกเสียงเป็น H ที่เห็นเขียนตัว P แต่ออกเสียงแบบ R ส่วนที่ต้องออกเสียง P นั้นเขาใช้สัญลักษณ์ π (Phi) และที่ต้องออกเสียง D ใช้สัญลักษณ์ ∆ (Delta) เป็นต้น แรกๆก็มึนงงอยู่บ้างแต่สองสามวันก็เริ่มอ่านได้

จะว่าไปลักษณะเมืองเอเธนส์นี้ก็คล้ายๆกับกรุงเทพอยู่เหมือนกัน คล้ายตรงที่ว่ามีเมืองเก่าโบราณเป็นศูนย์รวมใจของผู้คน บ้านเรือนของคนธรรมดาส่วนมากเป็นตึกแถว เป็นแฟลตเล็กๆ ทางเท้าส่วนมากแคบๆ บางทีต้องเดินหลบท่อหรือขี้หมา มีหมาหลงแมวหลงเดินหนังย่นอยู่ตามซอกตึก มีร้านขายของชำ ร้านขายเนื้อสด ร้านซ่อมเสื้อผ้า แฟชั่น มินิมาร์ท ร้านขายอาหารตามตึกแถวข้างถนน ตั้งสลับกันไป ผู้คนก็อาศัยอยู่ในละแวกที่มีการค้าขายนี้ คนมีเงินมากก็อยู่ใกล้เมืองตึกเก่าๆสวยๆ เงินน้อยลงไปก็อยู่ไกลออกไปในละแวกตึกแถวโทรมๆ ในเมืองมีรถติด มีควันเหม็นไม่ต่างจากบ้านเราเท่าไร และด้วยความที่เป็นเมืองท่องเที่ยว ผู้คนจึงมีใจใฝ่อดีตและอนุรักษ์มรดกที่บรรพบุรุษสร้างมา แต่ขณะเดียวกันก็ต้องต่อสู้กับโจทย์เรื่องการมองไปข้างหน้าด้วย

ระบบการปกครองของกรีกนี้เป็นระบบคล้ายๆกับบ้านเราคือเป็นประชาธิปไตยแบบรัฐสภา หรือ Parliamentary ต่างกันตรงที่เขาเลิกมีกษัตริย์ไปนานแล้วและเป็นชาติที่เคยมีเชื้อสังคมนิยมเจือปนอยู่สูง เอมาน่วลพาไปดูตึกรัฐสภาใหญ่โตหรูหรา เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิค ซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นพระราชวังของกษัตริย์ออตโตในสมัย ค.ศ. 1832 และมาเปลี่ยนเป็นระบอบรัฐสภาใน ค.ศ. 1911 ก็เมื่อประมาณเก้าสิบกว่าปีมานี้ นับดูแล้วเขาเป็นพี่เราประมาณยี่สิบกว่าปีในการใช้ระบอบประชาธิปไตย เอมาน่วลว่าถึงอย่างนั้นก็เถอะ คนที่นั่งอยู่ในรัฐสภาที่นี่ก็มีแต่พวกบ้องตื้นไม่ต่างกันทั้งนั้น ไม่เห็นมีใครอยากแก้ปัญหาคอรัปชั่นในกรีซกันจริงๆจังๆซักที

ระหว่างเดินกลับบ้านฉันถามเอมาน่วลว่าในเอเธนส์มีที่ไหนมีอนุสาวรีย์หรือชื่อถนนที่เขาตั้งเป็นเกียรติแก่ โสเครตีส อริสโตติ้ล หรือเพลโต้ ให้ไปดูไหม เอมาน่วลคิดอยู่นาน แล้วตอบขำๆว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นเลย พวกนักปรัชญานี้เขาถือเป็นพวกนอกรีต เขาไม่คิดเอามาเป็นเยี่ยงอย่างให้เด็กสมัยใหม่เดินตามหรอก ขืนทุกคนอยากเป็นอริสโตเติ้ลกันหมด บ้านเมืองก็แย่ซิ

นั่นสินะ ขืนทุกคนคิดเป็นหมดแล้วพวกบ้องตื้นที่เอมาน่วลพูดถึงจะยังคอรัปชั่นกันอยู่ได้ยังไง.

กรีซ 3

ตอน: ครีต

นั่งเรือจากเอเธนส์มาถึงเกาะครีต (Crete) ด้วยเวลาหนึ่งคืนเต็ม เรือเดินสมุทรนี้เขาใช้ส่งสินค้าไปยังประเทศต่างๆในยุโรปและเกาะต่างๆในกรีซ และมีส่วนที่แบ่งเป็นห้องให้ผู้โดยสารสูงถึงเก้าชั้น ห้องพักก็คล้ายๆกับรถห้องในตู้รถไฟชั้นหนึ่ง คือเป็นซอกแคบๆ เปิดเข้าไปก็มีเตียงสามเตียง (แคบๆแบบเตียงนักโทษ) สองเตียงขนาบกันซ้ายขวา ส่วนอีกเตียงยกลอยมีบันไดลิงให้ไต่ขึ้นลง ที่ดีกว่ารถไฟชั้นหนึ่งบ้านเราคือเขามีห้องน้ำด้วย อาบน้ำได้ มีสบู่ ผ้าเช็ดตัวให้ และมีตู้เก็บของเล็กๆเหมือนโรงแรม ลักษณะเรือนี้ก็คล้ายๆกับเรือไตตานิคที่เคยดูในหนัง แต่ไม่ถึงขนาดโบราณแบบมีหวูด มีควันออกมาเวลาแล่นไปอะไรแบบนั้น และที่สำคัญคือเขาไม่ให้ใครขึ้นไปยืนร้องเพลงที่หัวเรือเด็ดขาด

ช่วงคริสต์มาสนี้เรือเต็มเอี๊ยด เพราะคนในเอเธนส์ที่บ้านเดิมอยู่เกาะต่างก็กลับบ้านไปเจอครอบครัวกัน พวกที่จองตั๋ววินาทีสุดท้ายจะจ่ายค่าตั๋วครึ่งเดียวเพราะไม่ได้ห้องพัก ต้องเอาถุงนอนไปนอนกันตามโถง ตามริมทางเดิน ถ้ายังเป็นนักเรียนอยู่ก็ถือว่าผจญภัย สนุกดี แต่ถ้าแก่แล้วก็น่าจะถือว่าทรมาณสังขาร เพราะคนจะเดินผ่านไปมาตลอด กลางคืนก็จะนอนไม่หลับ ส่วนเราจองล่วงหน้าไว้นาน เลยไม่ต้องไปทรมาณสังขารกับเขา

บ้านเอมาน่วลอยู่ไม่ไกลจากฝั่งทะเลเท่าไรนัก ทะเลฝั่งนี้เรียกว่าทะเลครีต คือทะเลทางใต้ที่คั่นระหว่างเกาะครีตกับแผ่นดินใหญ่ที่เมืองเอเธนส์ตั้งอยู่ ถ้าไปทางขวาจากแผ่นดินใหญ่คือทะเลอีเจียน คั่นระหว่างกรีซแผ่นดินใหญ่กับตุรกี หากลงมาจากแผ่นดินใหญ่ลงมาทางใต้ เยื้องซ้ายหน่อยๆ คือทางแหลมสปาตาร์นี่เขาก็เรียกว่าเมดิเตอเรเนียน คั่นระหว่างอิตาลี กรีซ อียิปต์ อิสราเอล ฯลฯ รวมๆแล้วเมดิเตอเรเนียนก็คือทะเลที่คั่นระหว่างยุโรปกับอาฟริกาและเอเซียไมเนอร์นั่นเอง

เกาะครีตเป็นเกาะใหญ่ที่ก็ยังมีความเป็นเมืองอยู่สูง คงคล้ายๆภูเก็ต คือมีแหล่งชอปปิ้งให้จับจ่าย ซื้อของ และก็มีเขตอนุรักษ์ เมืองเก่าเมืองแก่ ตามสภาพภูมิประเทศภูมิอากาศ ครีตไม่เคยหนาวถึงขนาดมีหิมะตก แต่ก็มีเทือกเขาที่มีหิมะปกคลุมตลอดปีแบบภูเขาไฟฟูจี แต่ใหญ่และยาวกว่ามาก เขตบ้านเอมาน่วลเรียกว่าฮานย่า (Hania) เป็นเมืองหน้าด่านของเกาะที่มีประวัติศาสตร์การสู้รบยาวนาน มีเขตเมืองเก่าที่ตั้งอยู่ในกำแพงเมืองแบบโบราณ กำแพงนี้เป็นกำแพงอิฐที่ถึงตอนนี้ก็ทรุดโทรมลง แต่บ้านเขตในเขายังคงซ่อมแซมให้คนเข้าไปอยู่ บ้านในเขตกำแพงเมืองนี้ส่วนมากเป็นตึกสองชั้นหลังเล็กๆแคบๆ มีถนนแคบๆลัดเลี้ยวขึ้นลง ถ้าคนไม่รู้จักก็อาจเดินหลงได้ง่ายเพราะเขาไม่มีชื่อถนนติดบอก ถนนในเขตนี้รถยนต์เข้าไม่ได้ ต้องเดินเท้าหรือไม่ก็ต้องใช้จักรยานสถานเดียว สถาปัตยกรรมบ้านเรือนในเขตกำแพงเมืองส่วนมากเป็นแบบเวนิเชียน (Venetian) ชื่อนี้มาจากชื่อเมืองเวนิสที่แต่ก่อนใช้เรียกดินแดนแถบทางใต้ของยุโรปในสมัยศตวรรษที่ 16 ซึ่งตอนนี้ก็คือประเทศอิตาลี หากใครเคยอ่านเรื่องเวนิสวานิชคงพอจะเข้าใจ ตึกบางแห่งก็เป็นแบบอิสลาม มีโรงอาบน้ำแบบ เตอร์กิช บาธ (Turkish Bath) ให้เห็นบ้าง แต่ตอนนี้ก็ได้กลายเป้นร้านรวงไปหมดแล้ว

เขตไหนที่สวยจัดๆก็มักกลายเป็นร้านอาหาร โรงแรมและคาเฟ่กันเกือบหมด ส่วนที่เป็นบ้านคนก็จะหลบไปตามหลืบ บ้านหลายหลังที่เก่าโทรมมากต้องรื้อทิ้งสถานเดียว ทางการเขาก็ขอให้เก็บหน้าจั่ว บานหน้าต่าง และบานประตูทางเข้าที่เป็นเอกลักษณ์เดิมไว้ ส่วนข้างในจะทุบทิ้งสร้างใหม่เป็นแบบไหนนั้นจะอย่างไรก็ได้

กำแพงเมืองเก่าก็บอกเรื่องราวของยุทธศาสตร์การสู้รบได้ดีนัก กำแพงเมืองนี้มีสองชั้น ชั้นนอกเอาไว้กันศัตรูจากภายนอก ชั้นที่สองเอาไว้ล่อศัตรูให้ติดกับ ตัวกำแพงสร้างเป็นแนวโค้งไม่มีการหักมุม เพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูแอบหลบซ่อน เมื่อเดินลึกเข้ามาระหว่างกำแพงสองชั้นนี้ ก็เห็นว่ายิ่งใกล้ทางเข้าเมืองทางเดินก็ยิ่งแคบลงๆ เอมาน่วลบอกว่าทางที่แคบลงนี้เป็นกับดัก ทางที่แคบลงๆทำให้มีที่วิ่งหนีน้อย ปืนที่จ้องอยู่จากกำแพงชั้นในก็เล็งได้ง่าย ยิงสะดวกไม่เปลืองแรง เหมือนเล็งหมูในอวยยังไงยังงั้น!

กลับออกมานอกเขตเมืองเก่า เลยย่านช้อปปิ้งมาหน่อยมีตลาดใหญ่แบบมีหลังคา ดูก็คล้ายๆหัวลำโพงผสมกับกาดหลวงของเชียงใหม่ คือตัวตึกเป็นปูนตกแต่งแบบโบราณ แต่มีฟังก์ชั่นเป็นตลาดสด อายุเกือบร้อยปีแล้ว ในตลาดมีผักปลาชนิดต่างๆขาย มีหมู เนื้อแกะ เนื้อกระต่าย แขวนห้อยกันเป็นพวง ของแห้งเขาก็มีพวกปลาแห้ง ชีส น้ำมันมะกอก สบู่ และเหล้าอูโซ่ (Ouzo) น้ำอมฤตใสสนิท มีรสและกลิ่นหวานฉุน สรรพคุณก็น้องๆว้อดก้า บางร้านการตลาดจัดก็เอาเหล้ามาใส่ขวดที่รูปเหมือนวิหารพาเธนอน เอาไว้ขายนักท่องเที่ยวตาตื่น มองไปก็น่าเอ็นดูดีเหมือนกัน คล้ายๆกับในเมืองไทยที่มีพัดเพ้นท์เป็นรูปชนบทเอาไว้ขายนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้จะซื้ออะไรเป็นที่ระลึกอย่างนั้นเลย

ไกด์ผีเอมาน่วลเล่าให้ฟังว่า เกาะครีตนี้มีวัฒนธรรมหลากหลายทับถมอยู่ เนื่องมาจากที่เป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์ เหมาะสำหรับการเกษตร และภูมิประเทศก็เหมาะแก่การตั้งอาณาจักร มีเทือกเขาสูงบังที่ราบกว้าง มีทะเลล้อม ใครมีอำนาจก็อยากได้ครอบครอง ฉะนั้นจึงมีหลักฐานมากมาย (ท่วมหัว) ว่าในอดีตนั้นมีใครต่อใครมาตั้งอาณาจักรไว้ แล้วก็โดนใครต่อใครแย่งชิง แล้วใครต่อใครก็มาสร้างเมิองทับ เป็นเช่นนี้อยู่นับครั้งไม่ถ้วน

ความศรีวิไลของอาณาจักรบนเกาะครีตนี้มีมาตั้งแต่สมัยยุคหินใหม่ (Neolitic period) คือราวๆ 2400 กว่าปีก่อนคริสตกาล ก็คือประมาณ 5400 กว่าปีมาแล้ว ถ้าเทียบก็ประมาณยุคบ้านเชียงหรือเก่ากว่า มีการขุดพบพระราชวัง คโนโซส (Knosos) ของกษัตริย์ มิโนส (Minos) ผู้ครองอาณาจักร มิโนน (Minoan) พระราชวังคโนโซสนี้ ว่ากันว่าเป็นพระราชวังที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยขุดพบมาในทวีปยุโรป ไกด์ผีเอมาน่วลบอกว่าอาณาจักรมิโนนเป็นอาณาจักรที่มีกองทหารที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น นอกจากมีกลยุทธ์ในการป้องกันเมืองอย่างแยบยลแล้ว ทหารหนุ่มๆก็ฉกรรจ์เหลือหลาย มีเกมส์อันหนึ่งที่เขานิยมกันในสมัยนั้น คือการขี่วัวผาดโผน วัวคึกๆกำลังตกมันนี้แล มาแหย่ให้ตระหนก ไอ้หนุ่มน้อยเขย่งเก็งก็อย ตีลังกาขี่ ขาชี้ฟ้า ถือว่าเป็นความมาดแมนประดุจเฮอคิวลิส เป็นเอ็นเตอร์เทนเม้นท์เฉพาะในสำนักพระราชวัง ยังมีภาพวาดผนังเหลือไว้เป็นหลักฐานให้ดูในมิวเซียม

ตัวพระราชวังคโนโซสนี้ มีบางส่วนที่เติมต่อบูรณะขึ้นเพื่อพอให้เห็นรูปร่าง แต่โดยรวมก้คือซากปรักหักพังที่เหลือแต่ตอ แต่กระนั้นก็เห็นว่าซับซ้อนมาก มีหลายชั้นวนเวียน มีโรงเก็บข้าวเก็บพืชผลเป็นส่วนๆ มีท้องพระโรง มีห้องเก็บศพ โรงฝึกงานช่างต่างๆ เช่นงานปั้นดิน งานเหล็ก ทางขึ้นลงซับซ้อนสมดังคำเล่ากล่าวเรื่องกลยุทธ์ในการป้องกันเมือง

จากยุคอาณาจักรมิโนนนี้ก็เข้าสู่ยุคโรมัน แล้วก็ไบแซนทีน เวนิเชียน เติร์ก และกรีกปัจจุบันตามลำดับ รวมก็หลายพันปี เล่าหมดไม่ไหวเพราะความรู้ไม่พอ รู้แต่ว่าหลักฐานของอดีตที่นี่ชวนให้จินตนาการนั้นพรึงเพริด

ระหว่างนั่งรถชมวิวนอกเมืองก็เห็นสวนมะกอกใบระยิบเป็นทิวทุ่ง เห็นโบสถ์ไบแซนทีนสมัยเก่าตั้งสงบเสงี่ยมกลางสวนส้ม นึกในใจว่าภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้เป็นสิ่งเดียวกับที่คนเมื่อหลายพันปีที่แล้วมองเห็น หนึ่งชีวิตของเรานับดูแล้วก็เป็นเพียงส่วนเสี้ยวของเวลาที่ผ่านมาเท่านั้นเอง.