Wednesday, August 08, 2007
Miracle is All Around
จดบันทึกเมื่อวันพุธ
อาทิตย์นี้มานิวยอร์ค มาเวิร์คชอปกับ design legend--Milton Glaser
http://miltonglaser.com/pages/milton/mg_index.html
คลาสนี้เรียกว่า Master Class เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ จันทร์ถึงศุกร์ เช้าจรดเย็น เป็นเวิร์คชอปที่ไซโคมาก คุณปู่มิลตันแกจับให้ทุกคนทำอะไรที่ไม่เคยทำไม่คุ้นเคย ไม่เคยคิดอยากทำทำอะไรที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ เวลาเล็คเช่อร์คุณปู่แกเปิดโอกาสให้ทุกคนถกเถียง ถามคำถามชวนคิด
ท้าทายวิธีคิดของคนเป็นอย่างมาก เช่น ดีไซน์คืออะไร? เป้าหมายสูงสุดของศิลปะคืออะไร?
ชั่วโมงแรก มิลตันให้เราผลัดกันเล่าเรื่องประสพการณ์แรกในชีวิต ครั้งแรกที่เราประสบคำพูดจากใครสักคน หรือเหตุการณ์ที่ทำให้เราหันมาสนใจศิลปะ แรงบันดาลหรือแรงกระตุ้นอันแรกที่บอกเราว่าเราต้องการทำงานศิลปะ
มิลตันเล่าประสพการณ์ของตัวตอนห้าขวบ รูปนกดรออิ้งรูปแรกที่มีคนเขียนให้ดู มิลตันบอกว่ามีแรงมากระทบใจทันทีบอกว่าชึวิตนี้ต้องการวาดรูป มิลตันบอกให้ทุกคนออกมาเล่าประสพการณ์ทำนองนี้หน้าห้องแลกเปลี่ยนกับคนอื่นๆ
แล้วทุกคนในห้องก็ออกมาพูดประสพการณ์ของตน มิลตันบอกว่าประสพการณ์นี้ให้จำให้ดี พลังงานที่บอกให้เรามุ่งไปในทิศทางที่เราอยากเป็นแบบนี้อย่าให้มันจางหาย เพราะมันเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับชีวิต
ดีไซน์คืออะไร? มิลตันถาม
ไม่มีใครตอบได้ตรงครอบคลุมเลยสักคน ทุกคนเป็นดีไซน์เนอร์ แต่กลับไม่รู้ว่าดีไซน์คืออะไร น่าสมเพชมาก
ทุกคนจนมุม มิลตันก็ให้คำขยายความของดีไซน์ Design is a way to change a circumstance to another that creates a
desired effect.
นักเรียนมียี่สิบเจ็ดคนในเวอร์คชอปนี้ มาจากต่างที่ต่างถิ่น บ้างก็มาจากบราซิล แคนาดา โรเมเนีย ฟิลิปินส์ คนที่อยู่ต่างรัฐ
หลากหลายมาก แต่ละคนมีประสพการณ์ต่างกัน บ้างเพิ่งจบ บ้างเป็นเจ้าของบริษัท หลายคนทำงานมา 5-6 ปี บางคน 10-15 ปึ หลายหลาก
ทุกวันตอนเย็นมีดีไซน์เนอร์รับเชิญ แต่ละคนล้วนเป็นคนเก่งท๊อปออฟเดอะท๊อป ร๊อคสตาร์ มาโชว์งานปลุกเร้าอารมณ์ ที่ผ่านมาสามวันมี Louise Fili เจ๊แกเก่ง typography มาก, Jim MacMullan illustrator ทำโปสเตอร์ละครและหนังสือเด็ก passionate มากๆ, Stephan Sagmeister--Mr.
Heavenly Hot
ทุกวันแต่ละคืนมีการบ้าน วันรุ่งขึ้นมาพรีเซนต์ ทุกวันมีปัจจัยให้คิดและสะท้อนความอ่อนแอในวิธีการทำงานของแต่ละคน
การบ้านก่อนวันมานิวยอร์ค มิลต้นจดหมายไปถึงทุกคนล่วงหน้าสองเดิอนก่อนคลาสว่าให้ทำดีไซน์ลงบนบอร์ด อธิบายประสพการณ์ต่างๆในชีวิตที่มีอิทธิพลในวิธีการทำงาน พอมาถึงคลาสมิลตันก็หัดให้มองอิทธิพลเหล่านั้นว่าสร้่างความต่อเนื่องเชื่อมโยงอย่างไร เรามองเห็นอะไรจากรายละเอียดในช่วงชีิวิตต่างๆของชีวิตเราในอดีต
วันจันทร์ให้ไปซื้อ package ตามร้าน แล้วเอามาดีไซน์ใหม่
วันรุ่งขึ้นเอามาพรีเซนต์ รับคำวิจารณ์ และรับความรู้ความเข้าใจเรื่อง
professionalism อะไรที่เรายังเข้าใจไม่ถูกก็เข้าใจเสียให้ถูก
วันอังคารให้จับกลุ่มทำ magazine 24 หน้า ตั้งชื่อกันเอง ตั้ง theme
concept กันเอง โดยให้คิด theme ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
ให้เสร็จภายในคืนเดียว เริ่มทำกันตั้งแต่คลาสเลิกทุ่มนึง
ไปเสร็จเอาหกโมงเช้า งานนี้เหนื่อยแทบสิ้นใจ ไม่มีใครได้นอนเลย
เป็นงานที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ทำเสร็จกันหมดทุกกลุ่ม
บางกลุ่มเข้ากันดี บางกลุ่มทะเลาะกัน อีโก้จัด
บางกลุ่มงานออกมาดีมากแต่คนไม่แฮปปี้เลย
บางกลุ่มงานออกมาโอเคปานกลางแต่คนสนุกกันมาก
กลุ่มฉันงานออกมาไม่ดีและทุกคนไม่แฮปปี้เลย เหล่านี้
มิลตันก็ให้ทุกคนเปิดโอกาสพูด แชร์ความรู้สึกกันในห้องตอนพรีเซนต์
มิลตันบอกว่างานกลุ่มนี้เป็นแบบฝึกหัดเรื่องการแก้ปัญหาความขัดแย้ง
เป็นการเปิดเผยตัวตนของแต่ละคน
เวลาที่สมองและร่างกายเหนื่อยสุดใจขาดดิ้นอย่างนี้
นิสัยใจคอที่แท้จริงจะออกมา ถ้าอีโก้จัดจะทำงานกลุ่มไม่ได้
และถ้าทำงานกลุ่มไม่ได้ จะเป็นดีไซน์เนอร์ที่ดีไม่ได้
เพราะดีไซน์ไม่ใช่งานเสริมอีโก้
งานดีไซน์ทุกอย่างต้องทำร่วมกับคนอื่นเสมอ
มิลตันถามทุกคนว่าโปรเจคนี้ดูเหมือนเป็นโปรเจคอิมพอสสิเบิ้ล
แต่ทำไมถึงทำเสร็จกันได้ ภายในคืนเดียว 24 หน้า ทั้งคิดทั้งเขียนทั้ง
produce คำตอบมีหลายคำตอบ เพราะมีเดทไลน์
เพราะกลัวถ้าไม่เสร็จจะถูกเย้ยหยาม เพราะอยากทำ เพระมีแรงผลักดัน
ต่างๆนาๆ แต่คำตอบสุดท้ายที่มิลตันพูดด้วยเสียงหนักแน่นคือ เพราะทุกคนมี
"ความเชื่อ" ว่าเราต้องทำได้ มันก็เลยทำได้
เพราะถ้าใจเชื่อแล้วร่างกายก็จะเคลื่อนไหวไปตามความเชื่อนั้น
การงานก็จะลุล่วงไปได้แม้ว่าจะยากแค่ไหนก็ตาม
วันพุธ (วันนี้) ให้ทำ illustration ให้เขียน portrait ของคนในห้อง
โดยอ่านจากอาหารที่คนๆนั้นกิน
มิลตันให้ทุกคนจดบันทึกว่ากินอะไรเวลาไหนเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์
แล้วมาแลกเปลี่ยนกัน แต่ให้แลกจับฉลากโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นของใคร
กลับมาที่ห้องก็เอามาอ่านและคิด รอจนกระทั่งภาพของคนๆนั้นชัดเจนในหัว
ไม่จำเป็นต้องเดาว่าเป็นใครคนไหน
แต่ให้เขียนจากความรู้สึกที่อ่านไดอารี่อาหารที่คนๆนั้นกิน
ให้เขียนสองภาพ (ภาพนึงให้ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง)
ภาพนึงให้เขียนจากอุปการณ์ที่ถนัด
อีกภาพให้เขียนจากอุปกรณ์ที่ไม่ถนัดและคิดว่าไม่ชอบ
จากนั้่นก็ให้เขียนความเรียงอธิบายบุคลืกคนๆนั้น
จะเป็นอย่างไรตอนพรีเซนต์ มิลตันจะสอนอะไร พรุ่งนี้เดี๋ยวจะได้รู้
----------------------------------------------
วันพฤหัส
วันนี้เป็นวันที่หลอนมาก หลอนจริงๆ
ตอนเช้าทุกคนแบบฝีกหัดเมื่อวานมาติดบอร์ด (คือเขียน portrait 2 รูป
ของคนในห้องจากไดอารี่อาหาร อันนึงจากเทคนิคที่ถนัด อีกอันไม่ถนัด
และเขียนอธิบายบุคลิกความเป็นอยู่ของคนนั้นๆ)
ทุกคนได้โอกาสอธิบายงานของตนว่ารูปไหนเป็นงานถนัด รูปไหนเป็นงานไม่ถนัด
มิลตันดู แล้วก็สะท้อนกลับสั้นๆในเรื่อง energy
ของรูปว่าชิ้นไหนมีพลังกว่าชิ้นไหน
บางคนชิ้นที่ตัวเองว่าไม่ถนัดมองจากในคลาสแล้วกลับกลายดูมีพลังกว่า
แต่ก็มีบางคนทีึ่ผลลัพธ์ของงานที่ถนัดออกมาดีกว่า
บางคนสองชิิ้นออกมาพอๆกันดูไม่ออก ทั้งด้วยเพราะถนัดพอๆกันหมด
หรือไม่ก็ไม่ถนัดอะไรเลย แต่ส่วนมากแล้วเกือบทุกคนผลลัพธ์ออกมาเซอร์ไพรส์
ชิ้นที่เจ้าตัวคิดว่าอ่อนกลับสะท้อนความแข็งแกร่งบางอย่างที่เจ้าตัวไม่เห็นมาก่อน
อันนี้เป็นบทเรียนอันหนึ่งเรื่อง comfort zone เวลาเราอยู่ในที่ๆคุ้นเคย
มักจะทำแบบด่้วยความเคยชิน โดยที่ไม่ได้สังเกตความรู้สึกมากนัก
แต่เมื่อเวลาตัวเองอยู่ในที่ๆไม่คุ้นเคย มักจะทำอะไรด้วยธรรมชาติอีกแบบ
และด้วยไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์ก็จะออกมาแบบเซอร์ไพรส์
และด้วยความที่ไม่รู้ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิด
ความบริสุทธิ์ของพลังที่ใส่ไปในงานจะเผยตัวออกมา
บทเรียนนี้มิลตันว่าไม่ใช่จะบอกให้ทุกคนหันมาเป็น illustrator
แต่สอนให้ทุกคนเข้าใจธรรมชาติของตน
เข้าใจธรรมชาติของมือและสมองที่ควบคุมไม่ได้ของเจ้าตัวเอง
ต่อมาให้ทุกคนออกมาอ่านคำอธิบายบุคลิกของเจ้าของไดอารี่อาหาร
งานนี้เองที่สร้างความหลอนอย่างไม่น่าเชื่อ...
หลายคนพบว่ามีดีเทลหลายอย่างที่คนอื่นจินตนาการเกี่ยวกับตัวเองนั้นตรงราวกับคนเขียนรู้จักกันหรือเคยไปบ้านมาก่อน
หลายคนเขียนอธิบายลักษณะครัว ห้องนอน
ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวอย่างละเอียด
เมื่ออธิบายให้เจ้าของไดอารี่อาหารฟังแล้ว แทบตกเก้าอี้
เพราะบางดีเทลนั้นไม่ได้มาจากความคิดเลย
มาจากอะไรบางอย่างที่เราทุกคนเหนือการควบคุม
ดีไซน์เนอร์คนนึงอ่านที่ตัวเองเขียนอย่างละเอียดเรื่องลักษณะห้องครัวและการจัดบ้าน
ต่อไปด้วยว่าคนๆนี้ไม่ถูกกับพ่อ และพ่อตายเมื่อปีที่แล้ว สนิทกับย่ามาก
มีกล่องซิการ์สีดำที่ใช้เก็บรูปเก่า และอธิบายต่ออย่างยาวละเอียด
เจ้าของไดอารี่บอกว่าทุกอย่างตรงหมด ทั้งลักษณะบ้าน
และความสัมพันธ์กับพ่อของตัว และสนิทกับย่า
รวมทั้งกล่องซิการ์สีดำเก็บรูปเก่า ทุกคนในห้องฟังอ้าปากหวอ ขนลุก
และอีกหลายๆคนที่มีความ "บังเอิญ"
เกิดขึ้นในข้อเขียนของตนกับเจ้าของไดอารี่ที่ทำเอาขนหัวลุก
เช่นบางคนเห็นสร้อยไข่มุกที่ห้อยหลังรถ หรือลักษณะโต๊ะในห้องครัว
เลี้ยงแมว บางคนบอกว่าคนๆนี้ร้องไห้เก่ง
ดีเทลในชีวิตที่ตรงอย่างกับเห็นด้วยตาแบบนี้เกิดจากอะไร?
บางคนข้อเขียนไม่ได้สร้างความประหลาดใจมากนักและรูปที่เขียนกลับมีลักษณะเหมือนเจ้่าตัวอย่างไม่น่าเชื่อ
ข้อเขียนของเราไม่ได้สร้างความประหลาดล้ำลึกมากนัก แต่ก็ตรงประมาณ 70%
ส่วนรูปภาพนั้นคาดผิดไป คิดว่าเป็นผู้หญิงแต่กลับเป็นผู้ชาย
แต่มีดีเทลในรูปหลายจุดที่ชี้แล้วก็แทบตกเก้าอี้เหมือนกัน
เช่นลักษณะจมูกที่โด่งและงุ้มมาก หัวขนคิ้วที่ชนกัน ตายาวๆเห็นครี่งเดียว
เสื้อผ้าสีเข้ม (เจ้าตัวก็บอกว่ามีแต่เสื้อผ้าสีเข้ม)
เอ่อ...ทั้งหมดนี้จากเพียงการอ่านจากอาหารที่กินของกันเท่านั้นเอง...หลอนไหม?
งานแบบฝึกหัดนี้เป็นการทดลองของมิลตัน จากการอ่านทฤษฎีนักจิตวิทยาคนหนึ่ง
(ไม่ได้จดชื่อมา) แล้วมิลตันเอามาดัดแปลงใช้กับนักเรียนศิลปะ
ทดลองมายี่สิบห้าปีแล้ว ผลลัพธ์ออกมามี "ความบังเอิญ"
ที่มหัศจรรย์เกิดขึ้นทุกปี
งานนี้พิิสูจน์อะไรบางอย่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมนุษย์
มองในแง่จิตวิญญาณ ทุกอย่างในโลกนั้นมีความเชื่อมเนื่องด้วยกัน
มีพลังงานศูนย์กลางใหญ่ที่เป็นจุดกำเนิดของชีวิต
จักรวาลและความรู้สึกต่างๆ เมื่อร่างกายเปิดรับ
(ในกรณีนี้ทุกคนเหนื่อยจากการอดนอนอย่างสุุดจะต้านทาน)
จะเกิดความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับจุดกำเนิด ที่นอกเหนือการควบคุม
อิฉันเห็นว่าเป็นทฤษฎีเดียวกับการฝึกเจริญสติอย่างพุทธศาสนา
ที่ให้มองกายมองจิต เมื่อความว่างสัมผัสกับจิต
เมื่อนั้นความสัมพันธ์ที่สร้างให้จิตใจอ่อนโยนและเปิดรับก็จะเกิด
สองสามวันแรก แต่ละคนในห้องยังเป็นคนแปลกหน้าอยู่
พอทำงานกลุ่มก็สนิทกันมากขึ้น
แต่เมื่อได้สัมผัสลิ้่มรสชีวิตคนอื่นและได้เห็นความมหัศจรรย์ของการสัมผัสกันจากใจแล้ว
ทุกคนเปิดรับสุดๆ เห็นได้เลยจากวอลลุ่มเสียงที่คุยกันที่โต๊ะอาหาร
ดังกว่าเมื่อสามวันแรกมากนัก
เย็นนี้มิลตันถามคำถามซ้ำอีก คำถามเดิมที่ถามไปแล้วเมื่อวันแรก what is
the purpose of art? ทุกคนก็ตะล่อมๆตอบกันอีก คลุมเคลือ ไม่ตรง
แต่มิลตันก็ให้คำจำกัดความให้ว่า the purpose of art is to inform and
delight.
มิลตันถามต่ออีก what is love?
อะแฮ่ม... งานนี้ไม่อยากจะคุย เรายกมือตอบอย่างมั่นใจ บอกช้าๆว่า Love is
a state when you open your heart to receive something bigger than
yourself. มิลตันมองอย่างเซอร์ไพรส์ บอกว่าไม่เลวนี่ พูดอีกทีซิ
เราก็พูดอีกเหมือนเดิม ทุกคนเงียบเลย
มิลตันให้คำจำกัดความของ love ตามที่ตัวเองคิดว่าใช่
ฟังแล้วไม่ต่างจากของเราเลย แต่ไม่อยากจะพูดเลยว่าของเราตรงเป้ากว่า
หลังคลาสหลายคนเข้ามาบอกว่าเป็นคำจำกัดความที่ดีมากไปจำมาจากไหน
เราไม่ได้จำมาจากไหน อันนี้มันผ่านประสพการณ์ของตัวเองค่ะ
คืออาทิตย์หลังจากงานแต่งงานที่บ้านได้มีเวลาสะท้อนจิตใจของตัวเอง
จากที่เพื่อนๆมาช่วย จากความยากลำบากที่ผ่านมากับลี
จากประสพการณ์ที่ไปวัดไปฝึกวิปัสนา จากประสพการณ์เวลาวาดรูป
จากได้เขียนการ์ดขอบคุณเพื่อนๆที่มาช่วยงาน
ก็มีโอกาสคิดและหาคำตอบเรื่องความรู้สึกอันนี้ว่ามันมาจากไหน
แบบฝีกหัดคืนนี้คือให้มานั่งคิดและเขียนอธิบายวันที่เพอร์เฟคที่สุดของตนในอีกห้าปีข้างหน้า
จะเป็นอย่างไร ทำอะไร อยู่ที่ไหน มีใครอยู่ในชีวิตบ้าง
อธิบายมาให้ละเอียดตั้งแต่ตื่นเช้าจรดเข้านอน
deep มากค่ะ ขอตัวไปทำแบบฝึกหัดก่อน พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ตื่นเต้น
หัวใจมันโหวงๆยังไงไม่รู้
ปล. speaker วันนี้คือช่างภาพ Duane Michals (อ่าน ดะเวน ไมเคิลส์)
เราเคยปลื้มมาก่อน เป็นคนตลกมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ พูดฉอดนกแก้วนกขุนทองไม่หยุด
เหมือนเล่น comedy ตา Duane Michals เป็นเกย์แก่ อายุ 75 ปี พอๆกับมิลตัน
(แต่มิลตันไม่ใช่เกย์) เป็นเพื่อนเก่ามากัดกันให้ทุกคนดู ขำมากๆ
----------------------------------------------
วันศุกร์
เช้าวันสุดท้าย หลายคนบอกว่าเป็นการบ้านที่ยากมาก
ยากที่สุดและเกิดผลกระทบทางใจอย่างลึกซึ้งที่สุด
เรายอมรับว่าจิตใจส่วนลึกมีความต้องการอยากทำอะไรบางอย่างที่ลอจิกมันไม่ยอมรับ
แต่ยิ่งมองยิ่ิงมอง มันกลับไม่จางหายไป กลับชัดขึ้นชัดขึ้น
จนแทบทำให้เราอยากร้องไห้ เพราะดูเหมือนมันเป็นไปไม่ได้
และเพราะกลัวจะต้องยอมรับว่าเราต้องการมันจริงๆ
ความรู้่สึกแบบนี้อธิบายให้มิลตันฟัง
มิลตันบอกว่ามันเหมือนกับความรู้่สึกเวลารักใครบางคนแต่ไม่ยอมบอกว่าเรารัก
หรือไม่ยอมรับว่าเรารักเพราะกลัวจะผิดหวัง
ยูแชร์ความรู้สึกกลัวตัวเดียวกันกับที่หลายคนในห้องนี้รู้สึก
มิลตันให้ทุกคนออกมาผลัดอ่านการบ้านหน้าห้อง แทบทุกคนเล่าอย่างละเอียด
และหลายคนตัวสั่นๆ ไม่อยากมองหน้าใคร เพราะมองแล้วเดี๋ยวจะร้องไห้ออกมา
(เราด้วยเป็นคนหนึ่ง อ่านไปเสียงสั่นไป ต้องสะอึกก่อนอ่านต่อ
รู้สึกเหมือนตอนสาบานตนเมื่อวันแต่งงาน) บางคนเพิ่งเรียนจบ
ทำงานมาไม่กี่ปี ภาพที่เล่ายังไม่ค่อยชัด
แต่มีหลายคนที่บรรยายออกมาแล้วรู้สึกเหมือนจริงได้
มิลตันบอกว่าที่เล่ามานี่ยิ่งรู้สึกเหมือนจริงเท่าไรความความเป็นไปได้ที่สิ่งมหัศจรรย์จะเกิดขีึ้นยิ่งเป็นไปได้มาก
มิลตันบอกว่าทุกปี ซัมเมอร์
มักจะได้รับโทรศัพท์หรือจดหมายจากนักเรียนห้าปีที่แล้วติดต่อมาเสมอ
เล่าความว่าห้าปีผ่านไป ส่ิงที่เขียนไว้เกิดสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ...
ช่วงนี้ระหว่างที่มิลตันพูด ร่างกายรู้่สึกมันสะท้าน
เหมือนกับมีไฟฟ้าผ่านเข้ามา มันซ่าๆตามขาตามแขน เลยต้องนั่งให้ตัวตรง
มือแผ่สมาธิให้พลังมันผ่านและแผ่ไปช้าๆ
เพราะสังเกตเห็นว่าร่างกายเกร็งมาก
เห็นยายดีไซน์เนอร์จากบราซิลที่ชอบร้องไห้ สะอึกสะอื้นใหญ่
มิลตันอธิบายว่า นี่คือการเปิดเผยเสียงกระซิบจากข้างใน หรือที่เรียกว่า
personal needs หรือ personal fulfillment
ซึ่งต่างจากการยึดติดกับภาพของการต้องการเป็น professional
พูดง่ายๆคือการเป็น professional
ก็คือการเป็นสิ่งที่คนอื่นต้องการให้เรารู้จักทำอะไรที่สร้างผลลัพธ์ที่แม่นยำ
ทำเก่ง ทำเร็ว ทำถูกต้อง ทำขายได้กำไรมาก ตรงเป๊ะกับความต้องการของผู้ว่าจ้าง
แต่การเป็น professional นั้นมันไม่เพียงพอสำหรับคนที่ต้องการมึชีวิตที่รุ่มรวย
เสียงกระซิบข้างในนั้นต่างหากที่เป็นสิ่งที่เติมเต็มชีวิต
และมีความสำคัญกว่าการยึดติดกับการเป็น professional มากมายนัก
และอย่างไรก็ตามในชีวิตจริง ไม่จำเป็นว่า personal goal และ professional
goal จะต้องเป็นภาพเดียวกัน สองอย่างนี้แยกจากกันได้
ห้าโมง วันนี้ไม่มีแขกรับเชิญ สไลด์โชว์วันนี้เป็นงานของมิลตันเอง
เป็นงานรวมเล่มชิ้นใหม่ ที่รวมงานดรออิ้งจากสมัยต่างๆ
เป็นงานชิ้นที่ชอบสุดใจของมิลตัน สไลด์โชว์ผ่านไปอย่างช้าๆ
มิลตันไม่ได้อธิบายอะไรเลยระหว่างฉาย
บอกแต่ว่าควรจะใช้ตาและความรู้่สึกของเราซึมซับเอาเอง
ความงามมันจะผ่านไปถึึงใจได้ง่ายกว่า
(แทนที่จะมีซับไตเติ้ลบอกให้คิดว่าเรากำลังดูอะไรอยู่และมันงามอย่างไร)
สไลด์หน้าต่อหน้าผ่านไป งานดรออิ้งใจเย็นๆจากทริปต่างๆ งานสเก็ตช์ต่างๆ
จากสมุดบันทึกบ้่าง จากงานโปรเจ็คบ้่าง งานศึกษาจากมาสเตอร์พีซบ้าง
แต่ละชิ้นละเมียดละไม ถูกจัดวางอย่างไพเราะเพราะพริ้ง
ชวนให้นึกถึงดนตรีออเครสตร้า
(ระหว่างสไลด์โชว์นี้ย้ยเด็กบราซืลร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร
เราเองก็เซนซิถีฟใช่เล่น น้ำตามันเอ่อออกมา ต้องซับ)
ฉายสไลด์จบ มิลตันอธิบายถึงจุดประสงค์ของเวิร์คชอปนี้
ว่ามีโครงสร้างง่ายๆคือ การย่อประสพการณ์ของชีวิตเราโดยมองจาก past,
present, and future
past
คือแบบฝึกหัดวันแรกที่มา
มิลต้นจดหมายไปถึงทุกคนล่วงหน้าสองเดิอนก่อนคลาสว่าให้ทำดีไซน์ลงบนบอร์ด
อธิบายประสพการณ์ต่างๆในชีวิตที่มีอิทธิพลในวิธีการทำงาน
พอมาถึงคลาสมิลตันก็หัดให้มองอิทธิพลเหล่านั้นว่าสร้่างความต่อเนื่องเชื่อมโยงอย่างไร
เรามองเห็นอะไรจากรายละเอียดในช่วงชีิวิตต่างๆของชีวิตเราในอดีต
อีกอันคือแบบฝึกหัด packaging อันนี้ถือเป็นแบบฝึกหัดเรื่อง
professionalism เป็นการเช็คว่าเราเข้าใจในสิ่งที่เราทำแค่ไหน
เข้าใจสิ่งที่ลูกค้าต้องการแค่ไหน
เราควรจะสื่อสารอย่างไรที่ทำให้คนเข้าใจ และเปลี่ยนพถติกรรมให้คนมาสนใจ
มาซื้อ สิ่งที่เราพยายามจะสื่อสารนั้นเรามีความรู่้ความเข้าใจมันมากแค่ไหน
present
แบบฝึกหัดทำ magazine ข้ามคืน เป็นเรื่องการสัมพันธ์ของตัวเรากับคนอื่นๆ
เรามีวิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้่งกับคนอื่นอย่างไร
เรามองเห็นตัวตนของเราอย่างไร
อีกอันคือแบบฝึกหัดที่ให้เขียนภาพคนที่เราอ่านไดอารี่อาหาร
อันนี้เป็นเรื่องการเปิดรับตัวตน เปิดรับพลังงาน
เปิดรับสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ในชัวขณะ
เป็นการเปิดยอมรับสิ่งอื่นที่เราไม่รู้มาก่อน ซื่งไม่ใช่ตัวเรา
หรืออาจยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา และการรู้นี้ไม่ใช่เป็นการรู้ด้วยการคิด
แต่เป็นการรู้ด้วยการเปิดทั้งตัวและใจ
future
คือที่ให้นึกถึงภาพห้าปี perfect day
เป็นการหัดให้เรายอมรับเสียงที่กระซิบอยู่ภายใน และเปิดเผยมันออกมาดังๆ
ตั้งใจมั่นด้วยการวาดภาพในใจให้ชัดเจน
เมื่อสมองถูกทำให้เชื่อด้วยภาพที่เราสร้างจากส่วนลึกในใจแล้ว
ร่างกายก็จะเคลื่อนไหวไปตามความเชื่อนั้น และเมื่อร่างกายเคลื่อนไหว
มือเราก็จะเริ่มจับต้องสิ่งต่างๆ สร้างสิ่งต่างๆ
เมื่อนั้นสิ่งต่างๆก็จะเกิด
ทั้งหมดนี้ มิลตันเน้นเรื่องการก้าวเข้าไปสู่ดินแดนที่เราไม่รู้
ดินแดนที่มืด ไม่คุ้นเคย ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิด เมื่อเราพิจารณาให้ดี
เปลี่ยนจากการคิดไปสู่การไหลไปกับธรรมชาติของตัวเรา
เมื่อคุ้นเคยกับตรงนี้แล้วชีวิตก็จะไหลไปในทิศทางที่ยิ่งใหญ่ขึ้น
สิ่งที่เราทำจะสร้างความประหลาดใจให้กับเราทุกเมื่อ
ที่เขียนมานี้เป็นบทสรุปที่เข้าใจและกลั่นกรองมา
พยายามทำให้สิ่งเกิดขึ้นตลอดทั้งอาทิตย์และสิ่งที่มิลตันพูดนั้นเข้าใจง่ายที่สุด
เวิร์คชอปนี้เป็นเวิร์คชอปที่ดีไซน์เพื่อช่วยให้คนค้นพบสิ่งที่ตัวเองต้องการมาตลอดแต่ไม่มีพลังจะทำให้มันเป็นจริง
แขกรับเชิญต่างๆเป็นตัวกระตุ้นให้เห็นว่าสิ่งที่ต้องการนั้นคนอื่นทำได้
และคนอื่นนั้นคือคนตัวเป็นๆ หายใจได้ จับต้องได้
และที่สำคัญแต่ละคนมีบุคลิกที่แตกต่างกันไป
สิ่งที่เหมือนกันของแขกรับเชิญทั้งหมดก็คือ
ผ่านการบ่มเพาะมาอย่างหนักเน้นตลอดชั่วชีวิต ไม่มีอะไรง่าย
และดูราวกับว่าพลังที่คนเหล่านี้ใส่ในงานของตนนั้นมีจุดกำเนิดมาจากศูนย์รวมเดียวกัน
เพียงแต่พลังงานถูกเปิดเผยออกมาในรูปแบบของฟอร์มที่ต่างกัน
ก่อนจะจากกัน มิลตันเอาโปสเตอร์มาแจกเป็นที่ระลึกพร้อมลายเซ็นต์
ตืิ่นเต้นกันมาก ถ่ายรูปหมู่กันด้วยความฮึกเหิม
หมดเวลาของวัน มิลตันบอกว่าเอาละ พอ ต้องไปแล้ว แล้วก็เดินช้าๆไปมุมห้อง
คว้าเสื้อแจ๊กเก็ตสีขาวครีมมาสวมเหมือนวันก่อนๆ สวมหมวกสีเดียวกับเสื้อ
บอกว่าโชคดี ลาก่อน แล้วก็เดินออกจากห้องไป ทุกคนมีรอยยิ้่มเปื้อนหน้า
ไม่มีสักคนร้องไห้
เราทั่้งหลายในห้องมาจากหลายถื่น คืนนี้ออกไปกินข้าวด้วยกันคืนสุดท้าย
จิตใจเชื่อมโยงถึงกัน ก่อนจากทุกคนมองตากัน เข้าใจดี
ห้าปีต่อจากนี้เราจะโทรถึงกัน ดูซิว่าชีวิตไปถึงไหนแล้ว.
Subscribe to:
Posts (Atom)