ออกจะเป็นคำกล่าวที่ฟังดูลิเก เหมือนนิยายรักต่างชนชั้นยังไงยังงั้น แต่ลองมามองดูที่ความหมายและที่มาของคำกล่าวกันก่อน คำโบราณที่เราใช้กันเกลื่อนหรือพูดติดปากแบบนี้ บางทีเรามักมองข้ามความหมายเสมอ คำกล่าวที่มีความหมายลึกซึ้งก็เลยกลายเป็นคำลิเกๆที่เอาไว้พูดเปรียบให้ฟังดูสูงๆไปเท่านั้น
คำว่า "น้ำทิพย์" เป็นคำเปรียบสูงขั้นเทพเทวา น้ำทิพย์นั้นมาจากสวรรค์ เป็นน้ำมหัศจรรย์ เป็นสิ่งที่อธิบายด้วยอาการโลกๆไม่ได้ เมื่อมาชะโลมใจเมื่อใด เจ้าตัวจะรู้สึกเหมือนได้รับความพอใจที่สูงที่สุด ได้รับความต้องการลึกๆที่ปรารถนามาตลอด เหมือนเต็มสุข เต็มอิ่ม ไร้กังวล เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้หัวใจแหว่งๆนั้นเต็มขึ้นมา
จะว่าไปความรู้สึกเต็มแบบนี้เราต่างก็โหยหาด้วยกันทุกคน ตั้งแต่แรกเป็นทารกในครรภ์แม่จนเกิดมา จนโตเป็นหนุ่มเป็นสาว หรือจนแก่โรยก็ไม่แตกต่าง ทุกคนต้องการความเต็มอิ่มทางใจ ลึกลงไปก็คือความรู้สึกปลอดภัยแบบดั้งเดิมที่ฝังไว้ในดีเอ็นเอของมนุษย์เรา
ความอิ่มใจแบบนี้บางทีได้จากการกอด เด็กๆกอดตุ๊กตา กอดแม่หรือแม่กอด บางคนกอดหมา กอดแมว คนรักกันกอดกัน สามีภรรยากอดกัน ความที่ได้สัมผัสทางกาย ใจก็รู้สึกปลอดภัย คือรู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก เป็นภาวะหยั่งรู้ด้านการอยู่รอดอย่างหนึ่ง
คนชอบกัน ปิ๊งกันใหม่ๆ หรือรักแรกพบ อาจจะรู้สีกคล้ายๆมีน้ำทิพย์หลั่งอย่างนี้เหมือนกัน แต่ไม่เชิงว่าใช่นัก คืออาจจะรู้สึกหัวใจมันซ่าๆ ลิงโลด เหมือนได้เจอสิ่งที่ค้นหามานาน คนนี้หละที่เราต้องการ ถูกใจเรา เห็นหน้าเมื่อไร หรือนึกถึงเมื่อไร หัวใจมันรู้สึกซ่าๆ วูบๆ เหมือนความโหยหามันถูกกระตุ้น แต่ความรู้สีกอันนี้ไม่ใช่ความรู้สึกอิ่มเต็ม เป็นความโหยหามายาของโรแมนซ์มากกว่า
โดยธรรมชาติแล้ว หนุ่มสาวเกือบทุกคู่มักจะมีช่วง "โปรโมชั่น" แบบนีี้ คือช่วงที่สมองสร้างภาพที่เกิดแต่ความโรแมนติก เหมือนเด็กเห็นของเล่นแล้วอยากได้ หรือคนชอบซื้ออุปกรณ์ไฮเทค เป็นช่วงเวลาแห่งความยั่วยวน แต่พอซื้อมาแล้วก็ค่อยเห็นว่าของนั้นจริงๆแล้วมันทำงานยังไง เราต้องยอมเสียเวลาทำอะไรบ้างเพื่อจะได้มีชีวิตร่วมกับอุปกรณ์นั้นแล้วสุขสมบูรณ์ดั่งที่เขาโปรโมต
สำหรับคู่แต่งงาน ช่วงโปรโมชั่นเป็นเพียงขั้นตอนของการเลือกคู่ทางธรรมชาติเท่านั้น เมื่อความโรแมนติกสร่างซาไป ความต้องการความรู้สีกปลอดภัยแบบดั้งเดิมก็จะปรากฏชัดเด่นขี้นมา สามีภรรยาอยู่ด้วยกันบางคู่หัวใจแห้งผาก ทะเลาะเบาะแว้งอยู่เนืองนิจแล้วไม่ได้เติมเต็มความต้องการแก่กันและกัน หรือบางคู่เพิกเฉยมีนชา เพราะกลัวการกระทบกระทั่งอันเป็นเหตุให้ต้องเผยความจริงที่แทงใจ และไม่อยากข้องแวะ จนในที่สุดชีวิตแต่งงานชีวิตครอบครัวก็กลายเป็นทะเลทรายที่ไม่มีใครอยู่ได้
คนอยู่ด้วยกันต้องสร้างน้ำทิพย์มาชะโลมหัวใจกันและกันอยู่บ่อยครั้ง การกอดกัน สัมผัส จับมือ การเปิดเผย การฟังและตอบรับด้วยความเข้าใจ เป็นเรื่องขาดไม่ได้ ลองสังเกตใจของเราเอง เวลาคืนดีกับคนที่เรารักหลังจากทะเลาะกันเอาเป็นเอาตาย เวลารู้สีกว่ามีคนเข้าใจ เวลากลับบ้านเก่าที่เรารัก เราเกิดความรู้สีกปลอดภัย วางใจ เช่นเดียวกับทารกที่ร้องไห้อยากให้แม่อุ้ม เมื่อได้สัมผัสอกแม่ก็คลายวางความโศกเศร้าเหงาใจทุกอย่าง เมื่อเกิดความรู้สีกอย่างนี้ลองสังเกตดู จะเห็นว่าวินาทีที่ยากหนักนั้นกลับเป็นง่ายเบาขึ้นมาเหมือนพลิกฝ่ามือ เรายิ้มได้ หัวเราะได้ ทิ้งความบูดบึ้งตึงไปได้โดยง่าย อยากอยู่ด้วยกันใกล้ๆ คุยกัน ทำอะไรต่อมิอะไรด้วยกัน แทนที่จะไปขวนขวายหาอย่างอื่นทำเพื่อหลีกเลี่ยงการอยู่ด้วยกันแบบใจไม่เต็ม
น้ำทิพย์นั้นไม่ใช่เรื่องสัมผัสไม่ได้หรือสูงเกินมนุษย์มนา แต่เป็นเรื่องที่เราต้องการอยู่ทุกวี่ทุกวัน ความถูกถึงใจปรารถนานี้ไม่ใช่แค่เหตุและแรงบันดาลใจที่ทำให้เราต้องการมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่เป็นแรงผลักสนับสนุนที่ทำให้เราเคลื่อนไปในชีวิตอย่างรู้สีกมั่นคงปลอดภัย ที่สำคัญเป็นสิ่งที่เราสามารถสร้างขึ้น ถามถึง และมอบให้แก่กันและกันได้
สร้างน้ำทิพย์มาชะโลมใจแก่กันก็เหมือนการสร้างสวรรค์บนดินธรรมดาๆนี่เอง
-----------------------
Saturday, March 08, 2008
Subscribe to:
Posts (Atom)