Monday, May 25, 2009

ความจริงของโพสต์โมเดิร์น และผลกระทบที่มีต่อเราๆท่านๆ

บทความนี้เป็นบทความที่เขียนโต้ตอบกับพี่เอ็มแอนด์เดอะแก๊งค์ เริ่มจากความเห็นเรื่องเวบหมิ่น การเมือง ศาสนา ปรัชญา จนมาถึงเรื่องโพสต์โมเดิร์น บทนี้เขียนยาวและออกความเห็นไว้ค่อนข้างชัดเจน จึงอยากจะรวมเก็บไว้ในที่นี่

สัมนาเวบหมิ่นคลับ ฉบับที่ 49 (ระวังนะ ยาวมาก)

พี่เอ็มเกริ่นไว้ซะน่ากลัวเชียว บอกให้เปิดประเด็นเรื่องโพสต์โมเดิร์นกับสิ่งแวดล้อม อันนี้ controversial และพาราดอกซ์ม๊ากกกก เพราะพัวพันกันหลายกรณี ประหวั่นอยู่ว่าตูจะไปรอดไม๊เนี่ย แต่ไหนๆก็ไหนๆ ลองอ่านดูแล้วกัน

1. โพสต์โมเดิร์นกับการวิพากษ์วิจารณ์
อนึ่ง มีผู้กล่าวว่าหากไม่ชำนาญในเรื่องนี้ ก็อย่าไปวิจารณ์และขอให้ข้ามๆไปเสีย เนื่องด้วยเพราะไม่ได้รู้จักสำนักทั้งหมดจึงไม่มีข้อมูลพอที่จะออกความเห็น

หนูเภาขอตั้งคำถามว่า ในเมื่อเราเป็นผู้ใช้ชีวิตคนหนึี่งในสังคม และเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากแนวคิดดังกล่าว เราควรจะหุบปากและปล่อยให้กูรูผู้ศีกษาเหล่านั้นเป็นผู้ให้ความหมายแต่ฝ่ายเดียวหรือไม่? ขอถามตรงจุดนี้ เพราะเห็นว่าตำราหรือสิ่งที่ครูอาจารย์สอน เป็นส่ิงที่บอกต่อๆกันมา การศีกษาที่แท้ควรจะเป็นการตั้งคำถามกลับ เพราะการรับข้อมูลมาเฉยๆ แม้จะมีจำนวนมากมายเพียงใด ก็ไม่ได้เป็นการศีกษาที่นำไปสู่ความสว่างแต่อย่างใด

ในความคิดของหนูเภา มหาวิทยาลัยเป็นเป็นที่สร้างความรู้ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ๆอันตรายอย่างมากที่สุด หากการเล่าเรียนคือการสร้างความจริงบนรากฐานของฟองสบู่ทางความคิด การศีกษาก็คือเสียเวลาเปล่า

คณะปรัชญาเป็นคณะหนึ่งที่เป็นศูนย์รวมไอเดียต่างๆ และในขณะเดียวกัน (อันนี้พาราดอกซ์อย่างที่สุด) ก็เป็นศูนย์รวมฟองสบู่ทางความคิดอย่างมากที่สุดด้วย ฉะนั้นผู้ศีกษาจักต้องพึงระวังอย่างมาก มิให้ไอเดียต่างๆที่ศีกษาเข้ามาเป็นตัวทำลาย common sense ของตน

เคยได้ยินคำกล่าวอันนึง เขาพูดได้หงายหลังดี จะเอามา apply กับเรื่องโพสต์โมเดิร์นนี้ก็ได้

Marxists study marxism. Anti-marxisms understand it.


2. ครอบครัวโพสต์โมเดิร์น
เวลามองโพสต์โมเดิร์น หนูเห็นภาพที่ใหญ่กว่าสำนักทางฝรั่งเศสที่พี่เจี๊ยบกล่าวถึง หนูมองเห็นไปถึงคาร์ล มาร์กซ์, นิตเช่ เราปฏิเสธไม่ได้นะ ว่าเวลาค้นคว้าเรื่องโพสต์เนี่ย ชื่อพวกนี้มันผลุบโผล่ขี้นมากันสลอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันมีอิทธิพลและต่อยอดกันและกัน แม้ในรายละเอียดในแต่ละแนวสำนักจะต่างกัน แต่ทั้งหมด มีความสุดโต่งไปในทางเดียวกัน คือ ปฏิเสธองค์รวมของความเป็นปัจเจก

ย้อนกลับไปที่นิยามความเป็นปัจเจก ที่เคยกล่าวไปแล้วหลายครั้ง คือ ความรับผิดชอบชีวิตของปัจเจก (ชีวิตกู) และในขณะเดียวกันก็ต้องเคารพความเป็นปัจเจกอื่นด้วย (สังคม)

จะเห็นได้ว่าองค์รวมของความเป็นปัจเจกประกอบไปด้วย (1) บุคคล (2) ความสัมพันธ์ของบุคคลกับสังคม

ทั้งสองสิ่งนี้ต้องไปด้วยกันจึงจะครบองค์ หากจะมองเน้นแต่ตัวบุคคล บุคคลจะกลายเป็นอัตตา หากเน้นแต่สังคม บุุคคลจะกลายเป็นสมาชิกของกองทัพ (totalitarian แบบสังคมมด)

นักกระแสโพสต์โมเดิร์นตัวยงๆอย่าง นิตเช่ เน้นแต่บุคคลและความจริงของแต่ละบุคคลที่ตัดขาดจากกันและกัน เหมือนชีวิตคนคือการตัดแปะ จะเอาไปวางตรงไหนก็ได้ (คนจะเอาหมาแมวเป็นเมียก็เป็นเรื่องของเขา)

นักกระแสสังคมนิยมอย่าง มาร์กซ์ เน้นแต่สังคมและความสำคัญของส่วนรวมซึ่งละทิ้งความจริงส่วนบุคคลไป (คนอยากเก่งอยากรวยเป็นคนเห็นแก่ตัว)

แม้จะเน้นจุดที่อยู่กันคนละทิศและมีดีเทลของทฤษฎีที่ต่างกัน แต่ทั้งสองนี้ มันนำไปสู่จุดหมายที่ตรงกันอย่าง ironic ที่สุด คือการทำลายโครงสร้างของชีวิตที่มีมาแต่เดิม ทำลายศีลธรรม รากเหง้า ทำลายความสำคัญของแรงบันดาลใจ และความพิเศษของชีวิตแต่ละผู้ ซึ่งสัมพันธ์กันกับชีวิตอื่นๆ

นี่คือเหตุผลหลัก ที่หนูมองว่าพวกนี้มาจากครอบครัวเดียวกัน ฉะนั้นจึงได้จับโยนลงถังเดียวกันอย่างไม่ไยดีฉะนี้


3. โพสต์โมเดิร์นกับความถูกต้องแบบการเมือง (political correctness)
คำว่า political correctness นี้ ไม่รู้อยู่ทางเมืองไทยได้ยินกันบ้างหรือเปล่า หนูอยู่ทางนี้ได้รับ effect จนเบื่อและอึดอัดมาก

Political correctness คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับ Free speech

Political correctness เป็นเครื่องมือที่ใช้บังคับให้คนเซ็นเซอร์ตัวเอง

วิธีการคือ เปลี่ยน perception ของคน ด้วยการเปลี่ยนความชัดเจนทางความหมายของภาษา ให้คนมองเห็นสิ่งด้อย เป็นสิ่งธรรมดา หรือจนกระทั่งเปลี่ยนให้กลายเป็นสิ่งเด่น รวมไปถึงทำให้สิ่งเด่นกลายไปสิ่งปกติ จนกระทั่งสิ่งด้อย ซึ่งผิดจากความจริงที่เราเคยยอมรับกัน สิ่งที่เคยคิดว่าถูกต้องกลับกลายว่าเป็นเรื่องเสแสร้ง สิ่งที่เคยผิดธรรมนองคลองธรรมกลับกลายเป็นเรื่องปกติ

เมื่อความชัดเจนถูกปกปิดด้วยความคลุมเคลือ การวิพากษ์วิจารณ์ก็เป็นไปได้ยาก เพราะเมื่อการออกความเห็นแบบตรงๆกลายเป็นเรื่องสองแง่สองง่าม ดังนั้นผู้วิจารณ์ต้องคอยเซ็นเซอร์ตัวเอง เพราะกลัว thought police ที่จะมาจ้องคอยจับผิด (เหมือนกฏหมายหมิ่นยังไงยังงั้น)

Political correctness นำวิธีคิดแบบงงงวยของ postmodern มาเป็นเครื่องป่วน โดยมีท่าทีของเผด็จการโค่นอำนาจแบบ marxism และ leninism

1. แบบ postmodern ถือว่าความจริงเป็นเรื่องของใครของมัน สิ่งที่เราพูดกันเป็นแค่ความเห็นและการตีความ ความจริงที่แท้ไม่มีอยู่ ดังนั้นจึงจับเอาว่าการสื่อสารคือเกมภาษา การใช้ภาษาคือเกมการเมือง ฉะนั้นจึงมุ่งเป้าหมายไปที่ภาษาเป็นหลัก

2. แบบ marx และ lenin คือการตั้งใจล้มอำนาจของคนหรือส่ิงที่ยอมรับกันว่าเป็นอำนาจเดิมของสังคม แล้วต้องเปลี่ยนให้อยู่ในมือของผู้ด้อยแทน เช่น บอกกว่า ผู้หญิงจะครองโลกแทนชาย (เฟมินิสต์), คนจนเป็นเจ้าของประเทศ, คนผิวขาวเป็นผู้เอารัดเอาเปรียบที่ต้องถูกทำให้ล้มลง, ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาสับปรับ, etc.

สิ่งที่ทำให้ postmodern ผสมร่วมกับ lenin และ marx ได้อย่างกลมกลืนเพราะเห็นอย่างเดียวกันในข้อที่ว่า การได้เปรียบทางการเมืองคือต้องคุมการใช้ภาษาให้อยู่ เพราะภาษานำไปสู่ความหมาย การยอมรับ และอำนาจในท้ายสุด

Political correctness คือเครื่องมือสำคัญของการได้มาซึ่งอำนาจที่ว่า เรื่องนี้สำคัญที่ว่าอำนาจที่จะได้มานี้ ไม่ได้มากจากผลพวงของงานที่ทำหรือจากคุณงามความดีของตน แต่มาจากการขู่บังคับให้คนอื่นยอมรับ(และเปลี่ยนมุมมองในเรื่องความด้อย) ตอนนี้กำลังระบาดมากในประเทศตะวันตก โดยเฉพาะ อังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย ทำให้สังคมสับสนมาก

ลองพิจารณาภาษาแบบ political correct ดูกัน

--------------------------------------------------------
ภาษาเดิม | ภาษาแบบ political correct
--------------------------------------------------------
handicapped | physically challenged (+)
prostitute | sex care provider (+)
homeless | outdoor urban dwellers (+)
white people | melanin-impoverished (-)
black people | people of color (+)
poor | economically marginalized (+)
prisoner | client of the correctional system (+)
terrorist | oversea contingency (+)
terrorism | man-made disaster (+)
history | herstory (-)

อื่นๆอีกมากมาย
--------------------------------------------------------

ขวาสุดของตารางใส่เครื่องหมาย + และ - ไว้ให้ดู เป็นข้อสังเกตุ

อยากจะชี้ข้อสังเกตให้ดูว่า เครื่องหมายบวก จะไปตกอยู่ที่ใครก็ตามที่สังคมเดิมดูว่าด้อยกว่าในแง่อำนาจ ด้วยการมองแบบ political correct ความด้อยจะดูดีขึ้นมา ส่วนที่เป็นเครื่องหมายลบ คืออำนาจเดิมที่ถูก political correct ปรับเปลี่ยนให้ตกอยู่ในลักษณะด้อย อันนี้เป็นการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างทางอำนาจในวัฒนธรรม หรือเรียกอีกอย่างว่าการแก้แค้นเชิงโครงสร้าง

คำศัพท์และความคิดแบบนี้ ถูกยัดเยียดเข้าไปในตำราเรียน นักเรียนนักศีกษากำลังถูกล้างสมองกันถ้วนหน้า และอาจารย์เพี้ยนก็มีมากมายนับไม่ถ้วนที่ในมหาวิทยาลัย แม้กระทั่งมหาวิทยาลัยดังๆ แบบฮาร์วาร์ด โคลัมเบีย เยล ก็หนีไม่พ้น


4. โพสต์โมเดิร์นกับธรรมชาติ (deep ecology)
บอกแล้วจะเชื่อไหมว่ากลุ่มกรีนพีซคือความพยายามของระบอบคอมมิวนิสต์ที่ต้องการล้มล้างความเจริญทางเศรษฐกิจของโลกเสรี?

นี่ต้องมีคนโวยว่าคิดแบบอคติ คิดแต่ด้านลบ คิดมากไปป่าววววว...

ไม่ได้คิดมากพี่ ลองดูข้อพิจารณาดังนี้

marxism เชื่อว่าสังคมจะเจริญได้ เราต้องควบคุมมนุษย์ไม่ให้กระหายจนเกินขีดจำกัด

ทำไม๊... ทำไม อันที่หนึ่ง เรื่องการควบคุมความกระหายของมนุษย์มันมาตรงกับสิ่งที่นักสิ่งแวดล้อมพูด?

ทำไม๊... ทำไม อันที่สอง นักสิ่งแวดล้อมมาเริ่มเกิดกันช่วงปี '60-70 พอดีกับตอนที่คอมมิวนิสต์กำลังขยายอำนาจ?

ทำไม๊... ทำไม อันที่สาม วิธีการของกรีนพีซคือการทำให้คนรู้สีกผิดเมื่อแตะต้องสิ่งที่เรียกว่า "ธรรมชาติ" เหมือนกับที่คอมมิวนิสต์ทำให้พวกที่อยู่ในโลกเสรีรู้สีกผิดที่คิดอยากเก่งอยากรวย?

ทำไม๊... ทำไม อันที่สี่ กรีนพีซต้องการให้ประเทศทุนนิยมที่ร่ำรวยต้องเสียเงินมากมายเพื่อรับผิดชอบ global warming? แต่ประเทศยากจนไม่ต้องรับผิดชอบ?

ทำไม๊... ทำไม อันที่ห้า วัน earth day จึงบังเอิ๊ญ บังเอิญ ตรงกับวันฉลองวันเกิดของเลนิน?

ทำไม๊... ทำไม อันที่หก กรีนพีซถึงต้องการให้รัฐเป็นหนี้เพิ่มขึ้น เพื่อสนับสนุน green energy แบบหน้ามืดตามัว โดยไม่สนใจว่าเศรษฐกิจอเมริกาจะล่มไปกว่านี้หรือไม่?

และสุดท้าย ทำไม๊... ทำไม หัวหน้าผู้สนับสนุนกรีนพีซทั้งหลายถีงมีรถใหญ่โตกินน้ำมันมาก มีเครื่องบินส่วนตัวพ่นแก๊ส CO2 ในขณะที่ออกมาขู่ชาวบ้านเรื่อง global warming?

คำตอบในทฤษฎีของหนูคือ เพราะคอมมิวนิสต์ต้องการเห็นการล่มสลายของทุนนิยมเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าสังคมนิยมคือทางออก และหัวหน้าเผด็จการสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ก็เหมือนๆกัน คือกระหายอำนาจ ประชาชนต้องเสียสละ แต่กูผู้นำไม่ต้อง

แล้วโพสต์โมเดิร์นมาเกี่ยวอะไร? หนูว่าเพราะกระแสคอมมิวนิสต์มันถูกจริตโพสต์โมเดิร์นตรงที่เป้าหมายของการรื้อถอน ฉะนั้น สองกระแสจึงเจริญเติบโตในกันและกัน และร่วมทำลายโลกเสรีทุนนิยมด้วยกัน (สำหรับโพสต์โมเดิร์น สุดท้ายแล้ว ถ้าคนไม่เกี่ยวข้องกัน ก็ไม่มีเศรษฐกิจ จะกินอยู่ยังไง ก็ต้องมีรัฐมาคอยอุ้ม ฉะนั้น welfare state คือคำตอบ-ตัวอย่าง ดูที่เกาหลีเหนือ)

สิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องมืออันหนึ่งที่โพสต์และคอมมิวนิสต์ใช้เป็นจุดมุ่งหมายเพื่อล้มล้างระบอบทุนนิยมของโลกเสรี (มาแบบแทรกซึม) อันจะเห็นได้จากความวิปริตผิดมนุษย์ของวิธีการดังเช่น

- นักสิ่งแวดล้อมโพสต์โมเดิร์นรักธรรมชาติมาก พูดง่ายๆว่ารักมากจนคิดว่าการเกิดมาของมนุษย์นั้นเป็นการรบกวนธรรมชาติ ฉะนั้นมนุษย์ควรจะกลับไปใช้ชีวิตให้ใกล้ธรรมชาติและรบกวนน้อยที่สุด คำถามกลับคือ ในเมื่อธรรมชาติสร้างมนุษย์ขึ้นมา ทำไมจึงถือว่ามนุษย์ถึงเป็นส่วนเกินของธรรมชาติ? หรือธรรมชาติตัดสินใจผิดที่สร้างมนุษย์ขึ้นมา? (ใครคิดแบบนี้นี่น่าสงสารมาก)

- ความเขียวถูกยกให้เป็นศาสนาที่แตะต้องไม่ได้ แผนผังปิรามิดห่วงโซ่อาหารถูกวางให้กลับหัว เพื่อให้พืชอยู่สูงสุด ประชากรมนุษย์ยิ่งน้อยลงยิ่งเป็นผลดีต่อธรรมชาติมาก เพราะความเจริญของมนุษย์เป็นตัวบ่อนทำลายสิ่งแวดล้อม นั่นหมายถึงว่าการลบล้างมนุษยชาติเป็นหนทางจะนำธรรมชาติกลับไปสู่ความบริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่ง

- นักสิ่งแวดล้อมบางคนออกมาร้องให้เก็บภาษี CO2 โดยละทิ้งความจริงที่ว่ามนุษย์และสัตว์หายใจออกเป็น CO2 และ CO2 เป็นประโยชน์กับพืชในการหายใจ

- Global warming เป็นการขู่ให้คนกลัวแบบได้ผลมาก อัล กอร์ สร้างหนัง Inconvenient Truth ออกมาปลุกระดมให้คนสยอง และควักเงินบริจาคโดยไม่ยั้งคิด เพื่อเพิ่มอำนาจให้กับกลุ่มกรีนพีซ

ความจริงเรื่อง global warming นั้นมีข้อมูลวิทยาศาสตร์หลายกระแส บ้างก็ว่าโลกร้อนมานานแล้ว และร้อนแบบค่อยเป็นค่อยไป พืชและสิ่งมีชีวิตมีเวลาปรับตัว บ้างก็ว่าความร้อนความเย็นนี้มันมาเป็นไซเคิล และช่วงนี้เราอยู่ในช่วงเย็น หรือ global cooling ยิ่งกว่านั้นข้อมูลบางด้านบอกว่า การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไม่ได้มี CO2 เป็นตัวนำ แต่กลับกัน อุณหภูมิเพิ่มทำให้ CO2 สูงตาม (แปลว่าเพิ่ม CO2 ไม่จำเป็นว่าอุณหภูมิต้องสูงตาม —ไม่ตรงกับที่อัล กอร์ เสนอ)

แต่จะเป็นแนวไหนก็แล้วแต่ ข้อเคลมที่ว่ามนุษย์ทำลายโลกเพราะผลิต CO2 นั้นเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ และมนุษย์จะพาโลกกลับสู่สภาพดั้งเดิมก็ยิ่งเป็นเรื่องฝันเฟื่อง (แปลว่าต้องทำลายตีกรามบ้านช่องแล้วกลับไปอยู่ถ้ำ) ธรรมชาติเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่คนจะมาบังคับความเป็นไปของดินฟ้าอากาศได้ หากมันอยากจะร้อนจนแตกระเบิด เราก็ทำอะไรไม่ได้

ฉะนั้น การเก็บภาษีคนมากๆ (ทำให้คนยากจนลง) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความร้อนของโลก มันต่างอะไรกับบังคับบริจาคเงินเพื่อบูชายัญเทพเจ้า?

สรุป ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะให้เห็นความสัมพันธ์ของกระแสโลกที่มีในขณะนี้ กระแสโพสต์โมเดิร์น กระแสสังคมนิยม และกระแสกรีน มันมาพร้อมๆกัน เหตุไม่ใช่เพราะความบังเอิญ แต่เป็นความพยายามที่มากด้วยรูปแบบของแนวคิดที่ขาดความสมบูรณ์ของความเข้าใจในเรื่องปัจเจก ลู่ทาง และแรงบันดาลใจของปัจเจก

การใดที่ขาดความสมบูรณ์ เพราะปฏิเสธความจริง สุดท้ายแล้ว การนั้นมันจะกลับมาทำลายตัวมันเอง.

Saturday, March 08, 2008

ดั่งน้ำทิพย์มาชะโลมใจ

ออกจะเป็นคำกล่าวที่ฟังดูลิเก เหมือนนิยายรักต่างชนชั้นยังไงยังงั้น แต่ลองมามองดูที่ความหมายและที่มาของคำกล่าวกันก่อน คำโบราณที่เราใช้กันเกลื่อนหรือพูดติดปากแบบนี้ บางทีเรามักมองข้ามความหมายเสมอ คำกล่าวที่มีความหมายลึกซึ้งก็เลยกลายเป็นคำลิเกๆที่เอาไว้พูดเปรียบให้ฟังดูสูงๆไปเท่านั้น

คำว่า "น้ำทิพย์" เป็นคำเปรียบสูงขั้นเทพเทวา น้ำทิพย์นั้นมาจากสวรรค์ เป็นน้ำมหัศจรรย์ เป็นสิ่งที่อธิบายด้วยอาการโลกๆไม่ได้ เมื่อมาชะโลมใจเมื่อใด เจ้าตัวจะรู้สึกเหมือนได้รับความพอใจที่สูงที่สุด ได้รับความต้องการลึกๆที่ปรารถนามาตลอด เหมือนเต็มสุข เต็มอิ่ม ไร้กังวล เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้หัวใจแหว่งๆนั้นเต็มขึ้นมา

จะว่าไปความรู้สึกเต็มแบบนี้เราต่างก็โหยหาด้วยกันทุกคน ตั้งแต่แรกเป็นทารกในครรภ์แม่จนเกิดมา จนโตเป็นหนุ่มเป็นสาว หรือจนแก่โรยก็ไม่แตกต่าง ทุกคนต้องการความเต็มอิ่มทางใจ ลึกลงไปก็คือความรู้สึกปลอดภัยแบบดั้งเดิมที่ฝังไว้ในดีเอ็นเอของมนุษย์เรา

ความอิ่มใจแบบนี้บางทีได้จากการกอด เด็กๆกอดตุ๊กตา กอดแม่หรือแม่กอด บางคนกอดหมา กอดแมว คนรักกันกอดกัน สามีภรรยากอดกัน ความที่ได้สัมผัสทางกาย ใจก็รู้สึกปลอดภัย คือรู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก เป็นภาวะหยั่งรู้ด้านการอยู่รอดอย่างหนึ่ง

คนชอบกัน ปิ๊งกันใหม่ๆ หรือรักแรกพบ อาจจะรู้สีกคล้ายๆมีน้ำทิพย์หลั่งอย่างนี้เหมือนกัน แต่ไม่เชิงว่าใช่นัก คืออาจจะรู้สึกหัวใจมันซ่าๆ ลิงโลด เหมือนได้เจอสิ่งที่ค้นหามานาน คนนี้หละที่เราต้องการ ถูกใจเรา เห็นหน้าเมื่อไร หรือนึกถึงเมื่อไร หัวใจมันรู้สึกซ่าๆ วูบๆ เหมือนความโหยหามันถูกกระตุ้น แต่ความรู้สีกอันนี้ไม่ใช่ความรู้สึกอิ่มเต็ม เป็นความโหยหามายาของโรแมนซ์มากกว่า

โดยธรรมชาติแล้ว หนุ่มสาวเกือบทุกคู่มักจะมีช่วง "โปรโมชั่น" แบบนีี้ คือช่วงที่สมองสร้างภาพที่เกิดแต่ความโรแมนติก เหมือนเด็กเห็นของเล่นแล้วอยากได้ หรือคนชอบซื้ออุปกรณ์ไฮเทค เป็นช่วงเวลาแห่งความยั่วยวน แต่พอซื้อมาแล้วก็ค่อยเห็นว่าของนั้นจริงๆแล้วมันทำงานยังไง เราต้องยอมเสียเวลาทำอะไรบ้างเพื่อจะได้มีชีวิตร่วมกับอุปกรณ์นั้นแล้วสุขสมบูรณ์ดั่งที่เขาโปรโมต

สำหรับคู่แต่งงาน ช่วงโปรโมชั่นเป็นเพียงขั้นตอนของการเลือกคู่ทางธรรมชาติเท่านั้น เมื่อความโรแมนติกสร่างซาไป ความต้องการความรู้สีกปลอดภัยแบบดั้งเดิมก็จะปรากฏชัดเด่นขี้นมา สามีภรรยาอยู่ด้วยกันบางคู่หัวใจแห้งผาก ทะเลาะเบาะแว้งอยู่เนืองนิจแล้วไม่ได้เติมเต็มความต้องการแก่กันและกัน หรือบางคู่เพิกเฉยมีนชา เพราะกลัวการกระทบกระทั่งอันเป็นเหตุให้ต้องเผยความจริงที่แทงใจ และไม่อยากข้องแวะ จนในที่สุดชีวิตแต่งงานชีวิตครอบครัวก็กลายเป็นทะเลทรายที่ไม่มีใครอยู่ได้

คนอยู่ด้วยกันต้องสร้างน้ำทิพย์มาชะโลมหัวใจกันและกันอยู่บ่อยครั้ง การกอดกัน สัมผัส จับมือ การเปิดเผย การฟังและตอบรับด้วยความเข้าใจ เป็นเรื่องขาดไม่ได้ ลองสังเกตใจของเราเอง เวลาคืนดีกับคนที่เรารักหลังจากทะเลาะกันเอาเป็นเอาตาย เวลารู้สีกว่ามีคนเข้าใจ เวลากลับบ้านเก่าที่เรารัก เราเกิดความรู้สีกปลอดภัย วางใจ เช่นเดียวกับทารกที่ร้องไห้อยากให้แม่อุ้ม เมื่อได้สัมผัสอกแม่ก็คลายวางความโศกเศร้าเหงาใจทุกอย่าง เมื่อเกิดความรู้สีกอย่างนี้ลองสังเกตดู จะเห็นว่าวินาทีที่ยากหนักนั้นกลับเป็นง่ายเบาขึ้นมาเหมือนพลิกฝ่ามือ เรายิ้มได้ หัวเราะได้ ทิ้งความบูดบึ้งตึงไปได้โดยง่าย อยากอยู่ด้วยกันใกล้ๆ คุยกัน ทำอะไรต่อมิอะไรด้วยกัน แทนที่จะไปขวนขวายหาอย่างอื่นทำเพื่อหลีกเลี่ยงการอยู่ด้วยกันแบบใจไม่เต็ม

น้ำทิพย์นั้นไม่ใช่เรื่องสัมผัสไม่ได้หรือสูงเกินมนุษย์มนา แต่เป็นเรื่องที่เราต้องการอยู่ทุกวี่ทุกวัน ความถูกถึงใจปรารถนานี้ไม่ใช่แค่เหตุและแรงบันดาลใจที่ทำให้เราต้องการมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่เป็นแรงผลักสนับสนุนที่ทำให้เราเคลื่อนไปในชีวิตอย่างรู้สีกมั่นคงปลอดภัย ที่สำคัญเป็นสิ่งที่เราสามารถสร้างขึ้น ถามถึง และมอบให้แก่กันและกันได้

สร้างน้ำทิพย์มาชะโลมใจแก่กันก็เหมือนการสร้างสวรรค์บนดินธรรมดาๆนี่เอง

-----------------------

Wednesday, August 08, 2007

Miracle is All Around



จดบันทึกเมื่อวันพุธ

อาทิตย์นี้มานิวยอร์ค มาเวิร์คชอปกับ design legend--Milton Glaser
http://miltonglaser.com/pages/milton/mg_index.html
คลาสนี้เรียกว่า Master Class เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ จันทร์ถึงศุกร์ เช้าจรดเย็น เป็นเวิร์คชอปที่ไซโคมาก คุณปู่มิลตันแกจับให้ทุกคนทำอะไรที่ไม่เคยทำไม่คุ้นเคย ไม่เคยคิดอยากทำทำอะไรที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ เวลาเล็คเช่อร์คุณปู่แกเปิดโอกาสให้ทุกคนถกเถียง ถามคำถามชวนคิด
ท้าทายวิธีคิดของคนเป็นอย่างมาก เช่น ดีไซน์คืออะไร? เป้าหมายสูงสุดของศิลปะคืออะไร?

ชั่วโมงแรก มิลตันให้เราผลัดกันเล่าเรื่องประสพการณ์แรกในชีวิต ครั้งแรกที่เราประสบคำพูดจากใครสักคน หรือเหตุการณ์ที่ทำให้เราหันมาสนใจศิลปะ แรงบันดาลหรือแรงกระตุ้นอันแรกที่บอกเราว่าเราต้องการทำงานศิลปะ

มิลตันเล่าประสพการณ์ของตัวตอนห้าขวบ รูปนกดรออิ้งรูปแรกที่มีคนเขียนให้ดู มิลตันบอกว่ามีแรงมากระทบใจทันทีบอกว่าชึวิตนี้ต้องการวาดรูป มิลตันบอกให้ทุกคนออกมาเล่าประสพการณ์ทำนองนี้หน้าห้องแลกเปลี่ยนกับคนอื่นๆ

แล้วทุกคนในห้องก็ออกมาพูดประสพการณ์ของตน มิลตันบอกว่าประสพการณ์นี้ให้จำให้ดี พลังงานที่บอกให้เรามุ่งไปในทิศทางที่เราอยากเป็นแบบนี้อย่าให้มันจางหาย เพราะมันเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับชีวิต

ดีไซน์คืออะไร? มิลตันถาม
ไม่มีใครตอบได้ตรงครอบคลุมเลยสักคน ทุกคนเป็นดีไซน์เนอร์ แต่กลับไม่รู้ว่าดีไซน์คืออะไร น่าสมเพชมาก

ทุกคนจนมุม มิลตันก็ให้คำขยายความของดีไซน์ Design is a way to change a circumstance to another that creates a
desired effect.

นักเรียนมียี่สิบเจ็ดคนในเวอร์คชอปนี้ มาจากต่างที่ต่างถิ่น บ้างก็มาจากบราซิล แคนาดา โรเมเนีย ฟิลิปินส์ คนที่อยู่ต่างรัฐ
หลากหลายมาก แต่ละคนมีประสพการณ์ต่างกัน บ้างเพิ่งจบ บ้างเป็นเจ้าของบริษัท หลายคนทำงานมา 5-6 ปี บางคน 10-15 ปึ หลายหลาก

ทุกวันตอนเย็นมีดีไซน์เนอร์รับเชิญ แต่ละคนล้วนเป็นคนเก่งท๊อปออฟเดอะท๊อป ร๊อคสตาร์ มาโชว์งานปลุกเร้าอารมณ์ ที่ผ่านมาสามวันมี Louise Fili เจ๊แกเก่ง typography มาก, Jim MacMullan illustrator ทำโปสเตอร์ละครและหนังสือเด็ก passionate มากๆ, Stephan Sagmeister--Mr.
Heavenly Hot

ทุกวันแต่ละคืนมีการบ้าน วันรุ่งขึ้นมาพรีเซนต์ ทุกวันมีปัจจัยให้คิดและสะท้อนความอ่อนแอในวิธีการทำงานของแต่ละคน

การบ้านก่อนวันมานิวยอร์ค มิลต้นจดหมายไปถึงทุกคนล่วงหน้าสองเดิอนก่อนคลาสว่าให้ทำดีไซน์ลงบนบอร์ด อธิบายประสพการณ์ต่างๆในชีวิตที่มีอิทธิพลในวิธีการทำงาน พอมาถึงคลาสมิลตันก็หัดให้มองอิทธิพลเหล่านั้นว่าสร้่างความต่อเนื่องเชื่อมโยงอย่างไร เรามองเห็นอะไรจากรายละเอียดในช่วงชีิวิตต่างๆของชีวิตเราในอดีต

วันจันทร์ให้ไปซื้อ package ตามร้าน แล้วเอามาดีไซน์ใหม่
วันรุ่งขึ้นเอามาพรีเซนต์ รับคำวิจารณ์ และรับความรู้ความเข้าใจเรื่อง
professionalism อะไรที่เรายังเข้าใจไม่ถูกก็เข้าใจเสียให้ถูก

วันอังคารให้จับกลุ่มทำ magazine 24 หน้า ตั้งชื่อกันเอง ตั้ง theme
concept กันเอง โดยให้คิด theme ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
ให้เสร็จภายในคืนเดียว เริ่มทำกันตั้งแต่คลาสเลิกทุ่มนึง
ไปเสร็จเอาหกโมงเช้า งานนี้เหนื่อยแทบสิ้นใจ ไม่มีใครได้นอนเลย

เป็นงานที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ทำเสร็จกันหมดทุกกลุ่ม
บางกลุ่มเข้ากันดี บางกลุ่มทะเลาะกัน อีโก้จัด
บางกลุ่มงานออกมาดีมากแต่คนไม่แฮปปี้เลย
บางกลุ่มงานออกมาโอเคปานกลางแต่คนสนุกกันมาก
กลุ่มฉันงานออกมาไม่ดีและทุกคนไม่แฮปปี้เลย เหล่านี้
มิลตันก็ให้ทุกคนเปิดโอกาสพูด แชร์ความรู้สึกกันในห้องตอนพรีเซนต์

มิลตันบอกว่างานกลุ่มนี้เป็นแบบฝึกหัดเรื่องการแก้ปัญหาความขัดแย้ง
เป็นการเปิดเผยตัวตนของแต่ละคน
เวลาที่สมองและร่างกายเหนื่อยสุดใจขาดดิ้นอย่างนี้
นิสัยใจคอที่แท้จริงจะออกมา ถ้าอีโก้จัดจะทำงานกลุ่มไม่ได้
และถ้าทำงานกลุ่มไม่ได้ จะเป็นดีไซน์เนอร์ที่ดีไม่ได้
เพราะดีไซน์ไม่ใช่งานเสริมอีโก้
งานดีไซน์ทุกอย่างต้องทำร่วมกับคนอื่นเสมอ

มิลตันถามทุกคนว่าโปรเจคนี้ดูเหมือนเป็นโปรเจคอิมพอสสิเบิ้ล
แต่ทำไมถึงทำเสร็จกันได้ ภายในคืนเดียว 24 หน้า ทั้งคิดทั้งเขียนทั้ง
produce คำตอบมีหลายคำตอบ เพราะมีเดทไลน์
เพราะกลัวถ้าไม่เสร็จจะถูกเย้ยหยาม เพราะอยากทำ เพระมีแรงผลักดัน
ต่างๆนาๆ แต่คำตอบสุดท้ายที่มิลตันพูดด้วยเสียงหนักแน่นคือ เพราะทุกคนมี
"ความเชื่อ" ว่าเราต้องทำได้ มันก็เลยทำได้
เพราะถ้าใจเชื่อแล้วร่างกายก็จะเคลื่อนไหวไปตามความเชื่อนั้น
การงานก็จะลุล่วงไปได้แม้ว่าจะยากแค่ไหนก็ตาม

วันพุธ (วันนี้) ให้ทำ illustration ให้เขียน portrait ของคนในห้อง
โดยอ่านจากอาหารที่คนๆนั้นกิน
มิลตันให้ทุกคนจดบันทึกว่ากินอะไรเวลาไหนเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์
แล้วมาแลกเปลี่ยนกัน แต่ให้แลกจับฉลากโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นของใคร
กลับมาที่ห้องก็เอามาอ่านและคิด รอจนกระทั่งภาพของคนๆนั้นชัดเจนในหัว
ไม่จำเป็นต้องเดาว่าเป็นใครคนไหน
แต่ให้เขียนจากความรู้สึกที่อ่านไดอารี่อาหารที่คนๆนั้นกิน
ให้เขียนสองภาพ (ภาพนึงให้ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง)
ภาพนึงให้เขียนจากอุปการณ์ที่ถนัด
อีกภาพให้เขียนจากอุปกรณ์ที่ไม่ถนัดและคิดว่าไม่ชอบ
จากนั้่นก็ให้เขียนความเรียงอธิบายบุคลืกคนๆนั้น

จะเป็นอย่างไรตอนพรีเซนต์ มิลตันจะสอนอะไร พรุ่งนี้เดี๋ยวจะได้รู้

----------------------------------------------

วันพฤหัส

วันนี้เป็นวันที่หลอนมาก หลอนจริงๆ
ตอนเช้าทุกคนแบบฝีกหัดเมื่อวานมาติดบอร์ด (คือเขียน portrait 2 รูป
ของคนในห้องจากไดอารี่อาหาร อันนึงจากเทคนิคที่ถนัด อีกอันไม่ถนัด
และเขียนอธิบายบุคลิกความเป็นอยู่ของคนนั้นๆ)

ทุกคนได้โอกาสอธิบายงานของตนว่ารูปไหนเป็นงานถนัด รูปไหนเป็นงานไม่ถนัด
มิลตันดู แล้วก็สะท้อนกลับสั้นๆในเรื่อง energy
ของรูปว่าชิ้นไหนมีพลังกว่าชิ้นไหน
บางคนชิ้นที่ตัวเองว่าไม่ถนัดมองจากในคลาสแล้วกลับกลายดูมีพลังกว่า
แต่ก็มีบางคนทีึ่ผลลัพธ์ของงานที่ถนัดออกมาดีกว่า
บางคนสองชิิ้นออกมาพอๆกันดูไม่ออก ทั้งด้วยเพราะถนัดพอๆกันหมด
หรือไม่ก็ไม่ถนัดอะไรเลย แต่ส่วนมากแล้วเกือบทุกคนผลลัพธ์ออกมาเซอร์ไพรส์
ชิ้นที่เจ้าตัวคิดว่าอ่อนกลับสะท้อนความแข็งแกร่งบางอย่างที่เจ้าตัวไม่เห็นมาก่อน

อันนี้เป็นบทเรียนอันหนึ่งเรื่อง comfort zone เวลาเราอยู่ในที่ๆคุ้นเคย
มักจะทำแบบด่้วยความเคยชิน โดยที่ไม่ได้สังเกตความรู้สึกมากนัก
แต่เมื่อเวลาตัวเองอยู่ในที่ๆไม่คุ้นเคย มักจะทำอะไรด้วยธรรมชาติอีกแบบ
และด้วยไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์ก็จะออกมาแบบเซอร์ไพรส์
และด้วยความที่ไม่รู้ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิด
ความบริสุทธิ์ของพลังที่ใส่ไปในงานจะเผยตัวออกมา
บทเรียนนี้มิลตันว่าไม่ใช่จะบอกให้ทุกคนหันมาเป็น illustrator
แต่สอนให้ทุกคนเข้าใจธรรมชาติของตน
เข้าใจธรรมชาติของมือและสมองที่ควบคุมไม่ได้ของเจ้าตัวเอง

ต่อมาให้ทุกคนออกมาอ่านคำอธิบายบุคลิกของเจ้าของไดอารี่อาหาร
งานนี้เองที่สร้างความหลอนอย่างไม่น่าเชื่อ...

หลายคนพบว่ามีดีเทลหลายอย่างที่คนอื่นจินตนาการเกี่ยวกับตัวเองนั้นตรงราวกับคนเขียนรู้จักกันหรือเคยไปบ้านมาก่อน
หลายคนเขียนอธิบายลักษณะครัว ห้องนอน
ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวอย่างละเอียด
เมื่ออธิบายให้เจ้าของไดอารี่อาหารฟังแล้ว แทบตกเก้าอี้
เพราะบางดีเทลนั้นไม่ได้มาจากความคิดเลย
มาจากอะไรบางอย่างที่เราทุกคนเหนือการควบคุม

ดีไซน์เนอร์คนนึงอ่านที่ตัวเองเขียนอย่างละเอียดเรื่องลักษณะห้องครัวและการจัดบ้าน
ต่อไปด้วยว่าคนๆนี้ไม่ถูกกับพ่อ และพ่อตายเมื่อปีที่แล้ว สนิทกับย่ามาก
มีกล่องซิการ์สีดำที่ใช้เก็บรูปเก่า และอธิบายต่ออย่างยาวละเอียด

เจ้าของไดอารี่บอกว่าทุกอย่างตรงหมด ทั้งลักษณะบ้าน
และความสัมพันธ์กับพ่อของตัว และสนิทกับย่า
รวมทั้งกล่องซิการ์สีดำเก็บรูปเก่า ทุกคนในห้องฟังอ้าปากหวอ ขนลุก

และอีกหลายๆคนที่มีความ "บังเอิญ"
เกิดขึ้นในข้อเขียนของตนกับเจ้าของไดอารี่ที่ทำเอาขนหัวลุก
เช่นบางคนเห็นสร้อยไข่มุกที่ห้อยหลังรถ หรือลักษณะโต๊ะในห้องครัว
เลี้ยงแมว บางคนบอกว่าคนๆนี้ร้องไห้เก่ง
ดีเทลในชีวิตที่ตรงอย่างกับเห็นด้วยตาแบบนี้เกิดจากอะไร?
บางคนข้อเขียนไม่ได้สร้างความประหลาดใจมากนักและรูปที่เขียนกลับมีลักษณะเหมือนเจ้่าตัวอย่างไม่น่าเชื่อ

ข้อเขียนของเราไม่ได้สร้างความประหลาดล้ำลึกมากนัก แต่ก็ตรงประมาณ 70%
ส่วนรูปภาพนั้นคาดผิดไป คิดว่าเป็นผู้หญิงแต่กลับเป็นผู้ชาย
แต่มีดีเทลในรูปหลายจุดที่ชี้แล้วก็แทบตกเก้าอี้เหมือนกัน
เช่นลักษณะจมูกที่โด่งและงุ้มมาก หัวขนคิ้วที่ชนกัน ตายาวๆเห็นครี่งเดียว
เสื้อผ้าสีเข้ม (เจ้าตัวก็บอกว่ามีแต่เสื้อผ้าสีเข้ม)

เอ่อ...ทั้งหมดนี้จากเพียงการอ่านจากอาหารที่กินของกันเท่านั้นเอง...หลอนไหม?

งานแบบฝึกหัดนี้เป็นการทดลองของมิลตัน จากการอ่านทฤษฎีนักจิตวิทยาคนหนึ่ง
(ไม่ได้จดชื่อมา) แล้วมิลตันเอามาดัดแปลงใช้กับนักเรียนศิลปะ
ทดลองมายี่สิบห้าปีแล้ว ผลลัพธ์ออกมามี "ความบังเอิญ"
ที่มหัศจรรย์เกิดขึ้นทุกปี

งานนี้พิิสูจน์อะไรบางอย่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมนุษย์
มองในแง่จิตวิญญาณ ทุกอย่างในโลกนั้นมีความเชื่อมเนื่องด้วยกัน
มีพลังงานศูนย์กลางใหญ่ที่เป็นจุดกำเนิดของชีวิต
จักรวาลและความรู้สึกต่างๆ เมื่อร่างกายเปิดรับ
(ในกรณีนี้ทุกคนเหนื่อยจากการอดนอนอย่างสุุดจะต้านทาน)
จะเกิดความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับจุดกำเนิด ที่นอกเหนือการควบคุม
อิฉันเห็นว่าเป็นทฤษฎีเดียวกับการฝึกเจริญสติอย่างพุทธศาสนา
ที่ให้มองกายมองจิต เมื่อความว่างสัมผัสกับจิต
เมื่อนั้นความสัมพันธ์ที่สร้างให้จิตใจอ่อนโยนและเปิดรับก็จะเกิด

สองสามวันแรก แต่ละคนในห้องยังเป็นคนแปลกหน้าอยู่
พอทำงานกลุ่มก็สนิทกันมากขึ้น
แต่เมื่อได้สัมผัสลิ้่มรสชีวิตคนอื่นและได้เห็นความมหัศจรรย์ของการสัมผัสกันจากใจแล้ว
ทุกคนเปิดรับสุดๆ เห็นได้เลยจากวอลลุ่มเสียงที่คุยกันที่โต๊ะอาหาร
ดังกว่าเมื่อสามวันแรกมากนัก

เย็นนี้มิลตันถามคำถามซ้ำอีก คำถามเดิมที่ถามไปแล้วเมื่อวันแรก what is
the purpose of art? ทุกคนก็ตะล่อมๆตอบกันอีก คลุมเคลือ ไม่ตรง
แต่มิลตันก็ให้คำจำกัดความให้ว่า the purpose of art is to inform and
delight.

มิลตันถามต่ออีก what is love?

อะแฮ่ม... งานนี้ไม่อยากจะคุย เรายกมือตอบอย่างมั่นใจ บอกช้าๆว่า Love is
a state when you open your heart to receive something bigger than
yourself. มิลตันมองอย่างเซอร์ไพรส์ บอกว่าไม่เลวนี่ พูดอีกทีซิ
เราก็พูดอีกเหมือนเดิม ทุกคนเงียบเลย

มิลตันให้คำจำกัดความของ love ตามที่ตัวเองคิดว่าใช่
ฟังแล้วไม่ต่างจากของเราเลย แต่ไม่อยากจะพูดเลยว่าของเราตรงเป้ากว่า
หลังคลาสหลายคนเข้ามาบอกว่าเป็นคำจำกัดความที่ดีมากไปจำมาจากไหน
เราไม่ได้จำมาจากไหน อันนี้มันผ่านประสพการณ์ของตัวเองค่ะ
คืออาทิตย์หลังจากงานแต่งงานที่บ้านได้มีเวลาสะท้อนจิตใจของตัวเอง
จากที่เพื่อนๆมาช่วย จากความยากลำบากที่ผ่านมากับลี
จากประสพการณ์ที่ไปวัดไปฝึกวิปัสนา จากประสพการณ์เวลาวาดรูป
จากได้เขียนการ์ดขอบคุณเพื่อนๆที่มาช่วยงาน
ก็มีโอกาสคิดและหาคำตอบเรื่องความรู้สึกอันนี้ว่ามันมาจากไหน

แบบฝีกหัดคืนนี้คือให้มานั่งคิดและเขียนอธิบายวันที่เพอร์เฟคที่สุดของตนในอีกห้าปีข้างหน้า
จะเป็นอย่างไร ทำอะไร อยู่ที่ไหน มีใครอยู่ในชีวิตบ้าง
อธิบายมาให้ละเอียดตั้งแต่ตื่นเช้าจรดเข้านอน

deep มากค่ะ ขอตัวไปทำแบบฝึกหัดก่อน พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ตื่นเต้น
หัวใจมันโหวงๆยังไงไม่รู้

ปล.  speaker วันนี้คือช่างภาพ  Duane Michals (อ่าน ดะเวน ไมเคิลส์)
เราเคยปลื้มมาก่อน เป็นคนตลกมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ พูดฉอดนกแก้วนกขุนทองไม่หยุด
เหมือนเล่น comedy ตา Duane Michals เป็นเกย์แก่ อายุ 75 ปี พอๆกับมิลตัน
(แต่มิลตันไม่ใช่เกย์) เป็นเพื่อนเก่ามากัดกันให้ทุกคนดู ขำมากๆ

----------------------------------------------

วันศุกร์

เช้าวันสุดท้าย หลายคนบอกว่าเป็นการบ้านที่ยากมาก
ยากที่สุดและเกิดผลกระทบทางใจอย่างลึกซึ้งที่สุด
เรายอมรับว่าจิตใจส่วนลึกมีความต้องการอยากทำอะไรบางอย่างที่ลอจิกมันไม่ยอมรับ
แต่ยิ่งมองยิ่ิงมอง มันกลับไม่จางหายไป กลับชัดขึ้นชัดขึ้น
จนแทบทำให้เราอยากร้องไห้ เพราะดูเหมือนมันเป็นไปไม่ได้
และเพราะกลัวจะต้องยอมรับว่าเราต้องการมันจริงๆ

ความรู้่สึกแบบนี้อธิบายให้มิลตันฟัง
มิลตันบอกว่ามันเหมือนกับความรู้่สึกเวลารักใครบางคนแต่ไม่ยอมบอกว่าเรารัก
หรือไม่ยอมรับว่าเรารักเพราะกลัวจะผิดหวัง
ยูแชร์ความรู้สึกกลัวตัวเดียวกันกับที่หลายคนในห้องนี้รู้สึก

มิลตันให้ทุกคนออกมาผลัดอ่านการบ้านหน้าห้อง แทบทุกคนเล่าอย่างละเอียด
และหลายคนตัวสั่นๆ ไม่อยากมองหน้าใคร เพราะมองแล้วเดี๋ยวจะร้องไห้ออกมา
(เราด้วยเป็นคนหนึ่ง อ่านไปเสียงสั่นไป ต้องสะอึกก่อนอ่านต่อ
รู้สึกเหมือนตอนสาบานตนเมื่อวันแต่งงาน) บางคนเพิ่งเรียนจบ
ทำงานมาไม่กี่ปี ภาพที่เล่ายังไม่ค่อยชัด
แต่มีหลายคนที่บรรยายออกมาแล้วรู้สึกเหมือนจริงได้
มิลตันบอกว่าที่เล่ามานี่ยิ่งรู้สึกเหมือนจริงเท่าไรความความเป็นไปได้ที่สิ่งมหัศจรรย์จะเกิดขีึ้นยิ่งเป็นไปได้มาก

มิลตันบอกว่าทุกปี ซัมเมอร์
มักจะได้รับโทรศัพท์หรือจดหมายจากนักเรียนห้าปีที่แล้วติดต่อมาเสมอ
เล่าความว่าห้าปีผ่านไป ส่ิงที่เขียนไว้เกิดสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ...

ช่วงนี้ระหว่างที่มิลตันพูด ร่างกายรู้่สึกมันสะท้าน
เหมือนกับมีไฟฟ้าผ่านเข้ามา มันซ่าๆตามขาตามแขน เลยต้องนั่งให้ตัวตรง
มือแผ่สมาธิให้พลังมันผ่านและแผ่ไปช้าๆ
เพราะสังเกตเห็นว่าร่างกายเกร็งมาก

เห็นยายดีไซน์เนอร์จากบราซิลที่ชอบร้องไห้ สะอึกสะอื้นใหญ่

มิลตันอธิบายว่า นี่คือการเปิดเผยเสียงกระซิบจากข้างใน หรือที่เรียกว่า
personal needs หรือ personal fulfillment
ซึ่งต่างจากการยึดติดกับภาพของการต้องการเป็น professional
พูดง่ายๆคือการเป็น professional
ก็คือการเป็นสิ่งที่คนอื่นต้องการให้เรารู้จักทำอะไรที่สร้างผลลัพธ์ที่แม่นยำ
ทำเก่ง ทำเร็ว ทำถูกต้อง ทำขายได้กำไรมาก ตรงเป๊ะกับความต้องการของผู้ว่าจ้าง
แต่การเป็น professional นั้นมันไม่เพียงพอสำหรับคนที่ต้องการมึชีวิตที่รุ่มรวย
เสียงกระซิบข้างในนั้นต่างหากที่เป็นสิ่งที่เติมเต็มชีวิต
และมีความสำคัญกว่าการยึดติดกับการเป็น professional มากมายนัก
และอย่างไรก็ตามในชีวิตจริง ไม่จำเป็นว่า personal goal และ professional
goal จะต้องเป็นภาพเดียวกัน สองอย่างนี้แยกจากกันได้

ห้าโมง วันนี้ไม่มีแขกรับเชิญ สไลด์โชว์วันนี้เป็นงานของมิลตันเอง
เป็นงานรวมเล่มชิ้นใหม่ ที่รวมงานดรออิ้งจากสมัยต่างๆ
เป็นงานชิ้นที่ชอบสุดใจของมิลตัน สไลด์โชว์ผ่านไปอย่างช้าๆ
มิลตันไม่ได้อธิบายอะไรเลยระหว่างฉาย
บอกแต่ว่าควรจะใช้ตาและความรู้่สึกของเราซึมซับเอาเอง
ความงามมันจะผ่านไปถึึงใจได้ง่ายกว่า
(แทนที่จะมีซับไตเติ้ลบอกให้คิดว่าเรากำลังดูอะไรอยู่และมันงามอย่างไร)

สไลด์หน้าต่อหน้าผ่านไป งานดรออิ้งใจเย็นๆจากทริปต่างๆ งานสเก็ตช์ต่างๆ
จากสมุดบันทึกบ้่าง จากงานโปรเจ็คบ้่าง งานศึกษาจากมาสเตอร์พีซบ้าง
แต่ละชิ้นละเมียดละไม ถูกจัดวางอย่างไพเราะเพราะพริ้ง
ชวนให้นึกถึงดนตรีออเครสตร้า
(ระหว่างสไลด์โชว์นี้ย้ยเด็กบราซืลร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร
เราเองก็เซนซิถีฟใช่เล่น น้ำตามันเอ่อออกมา ต้องซับ)

ฉายสไลด์จบ มิลตันอธิบายถึงจุดประสงค์ของเวิร์คชอปนี้
ว่ามีโครงสร้างง่ายๆคือ การย่อประสพการณ์ของชีวิตเราโดยมองจาก past,
present, and future

past
คือแบบฝึกหัดวันแรกที่มา
มิลต้นจดหมายไปถึงทุกคนล่วงหน้าสองเดิอนก่อนคลาสว่าให้ทำดีไซน์ลงบนบอร์ด
อธิบายประสพการณ์ต่างๆในชีวิตที่มีอิทธิพลในวิธีการทำงาน
พอมาถึงคลาสมิลตันก็หัดให้มองอิทธิพลเหล่านั้นว่าสร้่างความต่อเนื่องเชื่อมโยงอย่างไร
เรามองเห็นอะไรจากรายละเอียดในช่วงชีิวิตต่างๆของชีวิตเราในอดีต

อีกอันคือแบบฝึกหัด packaging อันนี้ถือเป็นแบบฝึกหัดเรื่อง
professionalism เป็นการเช็คว่าเราเข้าใจในสิ่งที่เราทำแค่ไหน
เข้าใจสิ่งที่ลูกค้าต้องการแค่ไหน
เราควรจะสื่อสารอย่างไรที่ทำให้คนเข้าใจ และเปลี่ยนพถติกรรมให้คนมาสนใจ
มาซื้อ สิ่งที่เราพยายามจะสื่อสารนั้นเรามีความรู่้ความเข้าใจมันมากแค่ไหน

present
แบบฝึกหัดทำ magazine ข้ามคืน เป็นเรื่องการสัมพันธ์ของตัวเรากับคนอื่นๆ
เรามีวิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้่งกับคนอื่นอย่างไร
เรามองเห็นตัวตนของเราอย่างไร

อีกอันคือแบบฝึกหัดที่ให้เขียนภาพคนที่เราอ่านไดอารี่อาหาร
อันนี้เป็นเรื่องการเปิดรับตัวตน เปิดรับพลังงาน
เปิดรับสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ในชัวขณะ
เป็นการเปิดยอมรับสิ่งอื่นที่เราไม่รู้มาก่อน ซื่งไม่ใช่ตัวเรา
หรืออาจยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา และการรู้นี้ไม่ใช่เป็นการรู้ด้วยการคิด
แต่เป็นการรู้ด้วยการเปิดทั้งตัวและใจ

future
คือที่ให้นึกถึงภาพห้าปี perfect day
เป็นการหัดให้เรายอมรับเสียงที่กระซิบอยู่ภายใน และเปิดเผยมันออกมาดังๆ
ตั้งใจมั่นด้วยการวาดภาพในใจให้ชัดเจน
เมื่อสมองถูกทำให้เชื่อด้วยภาพที่เราสร้างจากส่วนลึกในใจแล้ว
ร่างกายก็จะเคลื่อนไหวไปตามความเชื่อนั้น และเมื่อร่างกายเคลื่อนไหว
มือเราก็จะเริ่มจับต้องสิ่งต่างๆ สร้างสิ่งต่างๆ
เมื่อนั้นสิ่งต่างๆก็จะเกิด

ทั้งหมดนี้ มิลตันเน้นเรื่องการก้าวเข้าไปสู่ดินแดนที่เราไม่รู้
ดินแดนที่มืด ไม่คุ้นเคย ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิด เมื่อเราพิจารณาให้ดี
เปลี่ยนจากการคิดไปสู่การไหลไปกับธรรมชาติของตัวเรา
เมื่อคุ้นเคยกับตรงนี้แล้วชีวิตก็จะไหลไปในทิศทางที่ยิ่งใหญ่ขึ้น
สิ่งที่เราทำจะสร้างความประหลาดใจให้กับเราทุกเมื่อ

ที่เขียนมานี้เป็นบทสรุปที่เข้าใจและกลั่นกรองมา
พยายามทำให้สิ่งเกิดขึ้นตลอดทั้งอาทิตย์และสิ่งที่มิลตันพูดนั้นเข้าใจง่ายที่สุด
เวิร์คชอปนี้เป็นเวิร์คชอปที่ดีไซน์เพื่อช่วยให้คนค้นพบสิ่งที่ตัวเองต้องการมาตลอดแต่ไม่มีพลังจะทำให้มันเป็นจริง
แขกรับเชิญต่างๆเป็นตัวกระตุ้นให้เห็นว่าสิ่งที่ต้องการนั้นคนอื่นทำได้
และคนอื่นนั้นคือคนตัวเป็นๆ หายใจได้ จับต้องได้
และที่สำคัญแต่ละคนมีบุคลิกที่แตกต่างกันไป
สิ่งที่เหมือนกันของแขกรับเชิญทั้งหมดก็คือ
ผ่านการบ่มเพาะมาอย่างหนักเน้นตลอดชั่วชีวิต ไม่มีอะไรง่าย
และดูราวกับว่าพลังที่คนเหล่านี้ใส่ในงานของตนนั้นมีจุดกำเนิดมาจากศูนย์รวมเดียวกัน
เพียงแต่พลังงานถูกเปิดเผยออกมาในรูปแบบของฟอร์มที่ต่างกัน

ก่อนจะจากกัน มิลตันเอาโปสเตอร์มาแจกเป็นที่ระลึกพร้อมลายเซ็นต์
ตืิ่นเต้นกันมาก ถ่ายรูปหมู่กันด้วยความฮึกเหิม

หมดเวลาของวัน มิลตันบอกว่าเอาละ พอ ต้องไปแล้ว แล้วก็เดินช้าๆไปมุมห้อง
คว้าเสื้อแจ๊กเก็ตสีขาวครีมมาสวมเหมือนวันก่อนๆ สวมหมวกสีเดียวกับเสื้อ
บอกว่าโชคดี ลาก่อน แล้วก็เดินออกจากห้องไป ทุกคนมีรอยยิ้่มเปื้อนหน้า
ไม่มีสักคนร้องไห้

เราทั่้งหลายในห้องมาจากหลายถื่น คืนนี้ออกไปกินข้าวด้วยกันคืนสุดท้าย
จิตใจเชื่อมโยงถึงกัน ก่อนจากทุกคนมองตากัน เข้าใจดี
ห้าปีต่อจากนี้เราจะโทรถึงกัน ดูซิว่าชีวิตไปถึงไหนแล้ว.

Sunday, July 09, 2006

เสือ




ฉันโทรไปหาลีขณะกำลังรอรถไฟ มีเรื่องด่วนจี๋สำคัญนักจะต้องบอกกล่าว รอไม่ได้ อีกสิบห้านาทีก็รอไม่ได้ ลีกลับไม่สนใจฟัง จะรีบไปๆ แค่นี้นะ เดี๋ยวเจอกัน บาย

ฉันกระแทกหูโทรศัพท์ลงด้วยความฉุน นึกในใจ ทำไมไม่รู้จักฟังเลยนะ คนอะไร เรามีเรื่องด่วนเรื่องสำคัญ จะหยุดฟังเสียหน่อยก็ไม่ได้ เอาแต่พูดอยู่คนเดียว บทอยากจะวางก็วาง ไม่คิดว่าธุระคนอื่นสำคัญบ้างหรือยังไง?

รถไฟมาเทียบจอดแล้ว ฉันก้าวเข้าไปนั่ง ใจร้อนรุ่มเรื่องลีกับโทรศัพท์ นึกโกรธโทษด่าอีกฝ่าย แหมทำให้เราฉุนเกรี้ยว คนอะไรไม่รู้จักนึกถึงใจคนอื่น นึกๆไปหน้าก็ร้อนผ่าว หัวใจเต้นตุบๆ รู้สึกเหมือนเลือดมันเดือดมันร้อน ใจจะระเบิด ไม่สบายตัวเลย

เออ นี่แหละหนอความโกรธ มันมาแล้ว สังเกตุเห็นแล้ว...

สังเกตุเห็นแล้วก็อยากจะหยุดใจที่มันร้อนเร่าๆ สมองที่มันนึกถึงแต่จะร้องกรี๊ดๆ ทำไมไม่ฟังฉันบ้างๆ วันนี้เป็นวันดี ทำไมต้องมารู้สึกแบบนี้หนอเรา นึกแล้วก็อยากจะเปลี่ยนความรู้สึกที่เป็นอยู่ในขณะ

หายใจเข้ายาว หายใจออกยาว นับหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า .... แหม แค่นี้ไม่หยุดฟังเลย ถ้าเป็นตัวเองเจอไม่ฟังแบบนี้บ้างจะโกรธไหม? อ้าว นึกไปๆย้อนกลับมาฉุนอีก วนเวียนไม่ไปไหน นับเลขก็ไม่หาย หายใจเข้าออกก็ไม่หาย เปลี่ยนเรื่องนึก นึกเรื่องที่เป็นมงคล...

นึกถึงอะไรดี... นึกถึง... โทรศัพท์ วางหูแล้วไปแล้วร้องกรี๊ดๆ จะทำให้หายโกรธไหมนี่? อ้าว ไหนว่านึกเรื่องที่เป็นมงคลไง กลับเวียนมานึกแต่เรื่องเดิม เรื่องที่ทำให้ใจรุ่มๆ

ความโกรธนี้มันเหนียว เกาะติดแน่นยังกับตีนตุ๊กแก ดุโฮกๆ เหมือนเสือ โผล่ขึ้นมาไม่รู้เนื้อรู้ตัว นั่งอยู่เฉยๆก็โผล่ผางออกมา ทำให้เราเป็นเหยื่อ ตกเป็นทาสความฉุนเฉียวราวกับมีเสือร้ายอยู่ในใจ

เอาละ ไอ้เสือร้าย มา! ฉันจะทำให้แกเชื่องให้ได้

หลับตานึกถึงเจ้าเสือ โผล่มาโฮกๆ แยกเขี้ยวยิงฟัน ฉันยื่นมือออกไป ลูบหัวดูหน่อยเป็นไง จะย่อมเชื่องลงไหม? แล้วฉันก็ลูบหัวมัน ลูบ ลูบ เจ้าเสือเอียงหัวให้ลูบ ทำหน้าเคลิ้มเหมือนเจ้าบิสกิตหมาข้างบ้าน แล้วเจ้าเสือก็หมอบ ลายพาดกลอนน่ากลัวก็หายไป เห็นเป็นขนเรียบนุ่มสีครีม เหมือนเจ้าบิสกิตยังไงยังงั้น... บิสกิต แกน่ารักจัง

กลับมาสังเกตตัวเองซิ ความโกรธมันหายไปไหนแล้วเนี่ย? ใจร้อนกลุ้มรุ่มผ่าวในทีแรกก็กลับเย็นเป็นปกติ หน้าตึงบึ้งบูดก็คลายลง ยิ้มได้อยู่คนเดียว

อารมณ์คนเรานี้หนอ โผล่พรวดมาแล้วบทจะดับก็ดับลงภายในพริบตาได้เหมือนกัน เพียงแค่รู้วิธีเผชิญหน้ากับมัน แผ่เมตตาให้กับอารมณ์ร้ายๆของตัวเอง ฉับพลันร้ายก็กลายเป็นดีไปได้ไม่รู้ตัว เหมือนน้ำดับไฟยังไงยังงั้น

เดี๋ยวอีกสิบห้านาทีลงรถไฟก็จะเจอลีแล้ว เดี๋ยวจะเล่าเรื่องนี้ให้ลีฟัง แล้วฉันก็นั่งยิ้มกริ่มไปตลอดทาง.

Friday, June 16, 2006

Florida



หวัดดีจ้ะ

กลับมาจากฟลอริดาแล้ว ทริปนี้เหนื่อยมาก วันแรกตื่นแต่ตีห้าไปสนามบิน ถึงสนามบินหกโม
งเห็นคนต่อคิวยาวเหยียด ตุ๊มๆต่อมๆว่าจะขึ้นเครื่องไม่ทัน ปรากฏว่าขึ้นไม่ทันจริงๆ ก็ต้องรอรอบต่อไปสิบโมง นึกได้ว่าไม่ได้เอาพาสปอร์ตมา โมโหตัวเองทำไมโง่อย่างนี้ นั่งรถไฟกลับบ้านไปเอา ลีรอเงกอยู่ที่สนามบิน สองชั่วโมงต่อมาก็มาต่อคิวยาวเหยียดอีก เฉียดจะไม่ทันอีกแต่ก็ทันจนได้

ไปถึงไมอามี่ก็เที่ยงบ่าย ไปเช่ารถ ขับไปซื้ออาหารขนมมาตุน กระดาษวาดรูป แวะกินข้าวกลางวัน ไปถึงโรงแรมที่ คีย์ ลาร์โก้ ก็หกโมงเย็น สลบเหมือดตั้งแต่นั้น ตื่นมาอีกทีก็วันใหม่เรียบร้อยแล้ว เป็นอันว่าวันแรกของการเดินทางหมดไปกับการเดินทางจริงๆ ไม่ได้เอ็นจอยอะไร เห็นแต่ไมอามี่  ส่วนชานเมืองแถวสนามบิน ซึ่งดูแล้วคล้ายๆเมืองไทย คือยุ่งๆเหยิงๆ ร้อนอบ เหนียว ตึกรามบ้านช่องไม่ค่อยจะเป็นระเบียบเรียบร้อย โผล่นู่นโผล่นี่มาแบบไม่มีการแปลนมากเท่าไหร่ ลีบอกว่าการแปลนส่วนมากอยู่ที่การเอ็นจิเนียร์เมือง เพราะเมืองทั้งเมืองมันเป็นบึง ที่ๆคนอยู่ส่วนมากเกิดจากการถมที่ เขาทำระบบคลองชลประทาน ขุดหนองบึงไว้ให้น้ำลง เพื่อให้เกิดเป็นแผ่นดินแห้ง คนอยู่ได้ มิน่า ที่ถึงแพง กว่าจะเป็นเมืองได้ เสียค่าถมค่าขุดกันอาน

ที่ฟลอริดานี้มีพวกคิวบาอยู่มาก เดินตามถนนนี้เหมือนไปประเทศอื่น คนส่วนมากพูดเสปน หาคนพูดอังกฤษต้องใช้ความพยายาม นี่ก็เป็นปัญหาเรื่องอิมิเกรชั่นของทางนี้ ภาษาสเปนเริ่มบุกเข้ามาเป็นภาษาราชการมากขึ้นทุกทีๆ สนามบินประกาศก็ต้องประกาศสองภาษา คนพูดกันไม่รู้เรื่องมากขึ้นทุกทีๆ

วันต่อมาขับรถไปดำน้ำสนอร์กเกิ้ลตามอ่าวในคีย์ ลาร์โก้ แต่มรสุมมันมา ฝนตกพรำ น้ำขุ่นไปหมด ลีบอกว่า คีย์ เวสต์ สวย ก็ขับรถกันไปดู ไหนๆดำน้ำไม่ได้ ขับรถชมวิวน่าจะสนุกกว่า ภูมิทัศน์แถวนี้เป็นทะเลหญ้า ป่าโกงกาง เกาะต่างๆ (ที่เขาเรียกว่าคีย์) เชื่อมต่อกันหมดด้วยถนนหมายเลขหนึ่ง ไปสุดกิโลเมตรที่ศูนย์ที่ คีย์ เวสต์ ปลายแหลมสุดของฟลอริดา ยื่นขั้นระหว่างแอตแลนติคกับอ่าวเม็กซิโก

เจอทะเลสวยตามทางก็หยุดชมวิว วาดรูปกัน ลูกเห็นปลาพยูนตัวนึงลอยขึ้นมา ใกล้เชียว ตะโกนเรียกลีให้มาดู ลีมาไม่ทัน มันก็ดำดิ่งหนีไปเสียแล้ว ตัวเทาๆ อวบๆ เหมือนหมูผสมปลาวาฬ น่ารักมาก มีเพรียงเกาะหลังเป็นวงๆ

ระหว่างลีนั่งวาดรูปวิว ลูกก็เดินเล่นชายน้ำ อยู่ดีๆก็มีปลาตัวนึงโดดเด้นผลุงขึ้นมา แล้วมานอนดิ้นแผล่บๆตรงหาดหิน ทำตัวพองเข้าพองออก เลยเห็นว่าเป็นลูกปลาปั๊กเป้า สงสัยมันตกใจลูกเดินไปแถวๆที่มันลอยน้ำอยู่ โดดเด้งด้วยความตกใจสุดขีด ปรากฏว่าโดดผิดทาง มาติดฝั่ง โง่แท้ๆ ลูกกับลีต้องหยิบมันลงน้ำไป เซ่อๆซ่าอยู่อีกซักพัก ถึงเริ่มขยับครีบได้ ลอยตุ๊มๆออกไป

ทะเลหญ้านี้มีความหลากหลายทางชีวภาพมากจริงๆ นั่งๆอยู่เดี๋ยวก็มีปลากระเบนลอยพือเข้ามา มีปลิงทะเล (ของโปรด) ปลาผีเสื้อลายดำขาว ตัวเล็กๆ เอาไม้ไปเขี่ยปลิงเล่น มันหดตัวเสียน่าเกลียดเชียว

ระหว่างทางนั่งรถลูกผ่านคีย์(เกาะ)ไปหลายคีย์ ถนนสายเดียวนี้มองเห็นทะเลสองด้านเลยซ้ายขวา งามมากๆ งามแบบป่าชายเลน ขับเรื่อยๆน้ำก้เริ่มเขียวมรกตขึ้นเรื่อยๆ ไปถึงคีย์ เวสต์ ก้เกือบค่ำมืดแล้ว (สองทุ่ม แต่ทางนี้ยังมีแสงแบบห้าโมงเย็น) เมืองน่ารักมากจ้ะ ถนนเล็กๆ สองข้างทางเป็นบ้านไม้ก่ายเกลื่อน เป็นบ้านแบบวิคตอเรียน ที่ฮิตอยู่สมัย ร.ห้า สีขาว สีชมพู สีฟ้า สีเขียวอ่อน หลังเล็กๆ มีระเบียงรอบบ้าน ไก่กระต๊ากเดินเป็นฝูงตามถนน ลั่นทม พุด เฟื่องฟ้า มะลิ มองไปทางไหนก็เห็นต้นไม้ดอกไม้แบบเมืองไทยไปหมด โอว นี่หรือ อเมริกา พาราไดซ์ชัดๆ จะว่าไปก็คล้ายๆเชียงใหม่ตรงถนนหนทางบ้านเรือน มีป่าโกงกางแบบสงขลา และมีทะเลแบบภูเก็ต มีเกย์เยอะมาก พวกคนแบบว่าศิลปิน แบบโบฮีเมียนชอบอยู่

เกสต์เฮาส์ร้านรวงหลายแห่งเขามีป้ายบอกว่าลุงเออร์เนส เฮมิงเวย์เคยมาอยู่ เคยมากิน เคยมานอน มาอยู่มานอนกี่ปีๆเขาก็เคลมกันสนุกสนาน ร้านนึงลูกเข้าไปฉี่เขาบอกว่าเฮมิงเวย์เคยมาอยู่พักอยู่ระหว่างเขียนเรื่อง The Old Man and the Sea เดาว่าคนมาพักที่นี่คงจะมารออินสไปเรชั่นแบบเฮมิงเวย์กันนับไม่ถ้วน

นอนค้างที่คีย์ เวสต์หนึ่งคืน ทุกอย่างแพงมาก อาหารแพงหูฉี่ กะจะล่อล๊อปสเตอร์เสียหน่อยกลับไม่มี ไม่ใช่ฤดู เลยอด

เดินไปเดินมาเขียนรูปได้สองรูปก็ต้องกลับไปคีย์ ลาร์โก้ เพราะข้าวของอยู่นั่นหมด (ไม่ได้กะจะค้างคีย์เวสต์ แต่มันดึกเลยต้องค้าง) ขากลับก็แวะเก็บปะการัง ฟองน้ำตามชายหาด ชายหาดแถวนี้เหมือนทะเลสาบสงขลา นราธิวาส มีบ้านชาวประมง ผสมบ้านพักบังกะโลโผล่อยู่ตามฝั่ง

ขับรถบนถนนสายนี้เหมือนวิ่งฝ่าทะเล ถนนแคบๆ ทะเลสองข้างอยู่ใกล้มาก เย็นย่ำแล้วเวิ้งว้างนัก

วันต่อมาก็ต้องกลับแล้ว ระหว่างทางแวะไปป่าสงวนแห่งชาติ เอเวอร์เกลดส์ ที่พ่อว่ามีไอ้เข้อยู่ในบึง ก็ป่าชายเลนนี่นะ มีปลาหลายชนิด ตัวเบ้งๆทั้งนั้น นกเยอะแยะ หญ้ากก หญ้าจูด ขึ้นสุดลูกหูลูกตา เขามีสะพานไม้ให้เดินดู ลูกเห็นไอ้เข้ห้าตัว (ไม่ได้เห็นพร้อมกันทีเดียว เห้นทีละตัว) นอนหย่อนใจตามใต้พุ่มไม้ ดูเก่าแก่ดึกดำบรรพ์ น่าเกลียดมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นไอ้เข้จริงตามธรรมชาติ ที่ไม่ใช่สวนสัตว์ หยึ๋ยบอกไม่ถูก...

เวลามีน้อยเหลือเกิน ดูได้แผลบๆก็ต้องกลับเสียแล้ว แต่เห็นว่าเขามีที่ให้แค้มปิ้งได้ คราวนี้มาเสียท่า จองโรงแรมแพงอยู่ด้วยความกลัวไม่มีที่พัก ปรากฏว่ามาแล้วเจอที่พักน่ารักๆเพียบ ถูกกว่าโรงแรมด้วย ถ้ามาคราวหน้าคิดว่าจะพักเต๊นท์ มาที่นี่เหมือนกลับบ้านไงงั้นเลย ขากลับเจอสวนลิ้นจี่ ! บ้านนึงเขากำลังเก็บใส่ลัง แต่แบ่งขาย เลยขอซื้อมาหน่อยนึง โอ... นึกว่าอยู่เชียงใหม่ แง คิดถึงจัง....

ลูกเอง
เภา

Saturday, March 04, 2006

ฟังดนตรีเถิดชื่นใจ



โดย เภา

ฟังดนตรีเถิดชื่นใจ (1)

เคร่งกับเรื่องงานกับเรื่องการเมืองมามาก อาทิตย์สองอาทิตย์นี้ขอพักไปหลบฟังเพลงเสียหน่อย อซูร่าชวนฉันไปดูคอนเสิร์ตร๊อคหูเหล็กเมื่อศุกร์ที่แล้ว รู้สึกกระชุ่มกระชวยดี ไปดูวงดนตรีสาวสี่คน นักร้องนำเซ็กซี่โยกเอวส่ายตะโพก กรีดร้องสุดเสียง ชีวิตนี้พลีเพื่อ Led Zeppelin

เคยเห็นนักร้องพลีชีวิตเพื่อราชาเอลวิสมาก็มาก นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นวงดนตรี cover สาวที่พลีชีวิตเล่นเพลงของเพศตรงข้าม แม้เราเกิดมาไม่เคยคิดจะฟังหรือเป็นแฟนเพลง Led Zeppelin มาก่อน แต่เห็นแม่นักร้องนำกรีดร้องเกรี้ยวกราดในแบบของเธอ ก็อดทึ่งไม่ได้

ร๊อคชนิดนี้มันไม่ใช่ร๊อคเล็กๆ แต่เป็นร๊อคแบบถึงลูกถึงคน ดูแล้วก็ขำดี เป็นเพลงของคนวัยหนุ่มกำลังตกมัน โกรธเกรี้ยวโกรธาในความเยาว์เขลาทึ่ง ก็มาแผลงฤทธิ์ให้กับอิสระในดนตรี Led Zeppelin ตัวจริงแก่หงำเหงือกไปแล้ว สาวๆกลุ่มนี้ก็กระชากความอมตะของเลือดหนุ่มกลับมา ให้ลุงๆน้าๆมาร่วมย้อนหลังเอนจอยอารมณ์ร๊อค นำรสชาติตกมันกลับมาสู่ชีวิตวัยคล้อยบ่ายอีกครั้ง

ลีลาของสาวๆบนเวทีก็ร้ายกาจแท้ นักร้องนำอายุสักยี่สิบกว่า ใส่เสื้อโปร่งเซ็กซี่เปิดสะดือ ผมยาวดำสะบัดได้ถึงวิญญาณร๊อคดีแท้ ลีลากรีดร้องและส่ายตะโพกของเธอสะบัดช่อดีนัก แม่ลีดกีตาร์อายุมากหน่อย บทบาทการเล่นโชว์ก็ก๋ากั่นไม่แพ้กัน เอาคันไวโอลินมาสีกีตาร์ ปาดแต่ละทีสร้างเสียงอันหลอกหลอน ราวปลุกข้าวสารเสก ส่วนมือกลอง ขนาดของเธอใหญ่โตมาก พลังช้างสารในการฟาดกลองโครมครามไม่น่าแพ้ Led Zeppelin ตัวจริง ที่จืดหน่อยคือกีตาร์เบส เธอมาในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ธรรมดา ยืนดีดของเธอเงียบๆในมุมมืด แต่ก็พอให้อภัยได้เพราะเธอก็เล่นออแกนได้หลอกหลอนไม่แพ้มือกีตาร์

ดีดดิ้นไปกับคลื่นคน เราอดย้อนนึกถึงชีวิตนักเรียนไม่ได้ สมัยไปเป็นกรุ๊ปปี้เกาะเวที ไปดิ้น ไปกรี๊ดให้พวกหนุ่มๆเพื่อนๆที่ชอบเป็นดาราออกอาการร๊อค งานใต้ตึกที่คณะมันอารมณ์เดียวกันนี้เลย

หลังคอนเสิร์ตเลิก ร่างกายมันเหนื่อยปวกเปียกอย่างบอกไม่ถูก อยากจะล้มตัวนอน ณ บัดนั้น หูแทบใช้การไม่ได้ นั่งรถกลับบ้านลีเปิดวิทยุเจอเพลงร๊อคน้องๆ Led Zeppelin เปลี่ยนคลื่นหนีกันแทบไม่ทัน.

___________________________________________________

ฟังดนตรีเถิดชื่นใจ (2)

หูเหล็กไปเมื่อศุกร์ที่แล้ว วันศุกร์ (สุข) นี้ไปลิ้มความคลาสสิคดูบ้าง ไปกับอซูร่าอีกตามเคย คราวนี้ไปที่หอสมุดแห่งชาติ

ทุกวันศุกร์ในฤดูหนาวที่หอสมุดนี้เขาจะมีคอนเสิร์ตให้ไปฟังไปชมฟรี มีความศรีวิไลซ์จากวัฒนธรรมต่างๆมาให้เคลิบเคลิ้มกัน คอนเสิร์ตคราวนี้เป็นนักร้องกลุ่ม มาจากประเทศสวิส ชื่อ Ensemble Corund เพลงที่เขาแสดงเป็นเพลงแบบ อแคพเพลล่า คือร้องดิบๆ ไม่มีเครื่องดนตรี กลุ่มนี้มีคนร้องประมาณสิบคน กับอีกหนึ่งคอนดักเตอร์

เพลงที่เขาแสดงนี้เป็นอแคพเพล่าทั้งร่วมสมัยและแบบโบราณ บางเพลงเก่าสองสามร้อยปี ส่วนมากเป็นเพลงที่ได้แรงบันดาลใจจากงานบรรยากาศของบทละครเชคเสปียร์ คนร้องยืนร้องเหมือนประสานเสียง ทุกคนก็มีบทบทเสียงที่สูงต่ำต่างๆกันไป ผลัดกันนำผลัดกันรับ บางเพลงมีเนื้อร้อง บางเพลงมีแต่เสียงฮัม

เว้ากันซื่อๆแบบคนไม่เคยฟังมาก่อนและไม่มีความรู้เกี่ยวกับเพลงคลาสสิคมากนัก เพลงพวกนี้ไม่ได้มีความไพเราะแบบที่เราคุ้นๆกัน ไม่มีจังหวะที่แน่นอนชัดเจนแบบเพลงลีลาศ ไม่ได้รื่นหูชวนให้เคลิบเคลิ้มหลับไหลเหมือนเพลงโรแมนติก ไม่ได้สง่างามเหมือนเพลงสำหรับเทศกาล โน๊ตแต่ละตัวไม่ได้ลงในคีย์ที่เราได้ยินจากเครื่องดนตรี เขาเล่นเสกลเสียงที่อยู่ระหว่างตัวโน๊ตสองตัว บางทีฟังดูเหมือนเพี๊ยนๆ แต่เป็นความเพี๊ยนที่ตั้งใจ บางทีเดาไม่ถูกว่าคนร้องจะพาเราไปไหน

เหมือนเรากำลังผจญภัยไปในภาพที่สร้างจากเสียง เป็นบรรยากาศแบบกลางคืนในฤดูร้อน มีเสียงจั้กจั่นเรไร เสียงนก เสียงกล่อมเด็ก เสียงลมต่างๆนาๆ คาดเดาไม่ถูกว่าอะไรจะมาเมื่อไร อารมณ์ต่างๆในดนตรีมีความละเอียดอ่อนมากกว่าอารมณ์ที่เราจำกัดความด้วยคำพูดมากนัก.

http://www.corund.ch/en/audiofiles.htm