Sunday, November 13, 2005

วันบุญ


โดย ส.

ตั้งแต่อยู่ไกลบ้านเฮามาหลายปี ไม่ค่อยได้มีโอกาสสัมผัสวัฒนธรรมและจิตใจแบบชาวพุทธเท่าไรนัก วันนี้ถือเป็นวันบุญกุศล ได้เข้าฟัง องค์ดาไล ลามะ ตัวเป็นๆ พูดโปรโมตสันติภาพ (peace) และเมตตาธรรม (compassion)

งานนี้จัดที่สเตเดี้ยมที่ปกติเขาใช้จัดงานร๊อคคอนเสิร์ต ไม่ก็เชียร์บอล หรืออะไรอื่นๆที่เป็นป๊อปคัลเจอร์ งานนี้ ฮิส โฮลี่เนส ดาไล ลามะ ท่านมาแปลก เจาะกลุ่มป๊อป

คนมาเข้าฟังงานนี้เยอะมาก เขาว่าถึงหมื่นหกพันคน ฉันกับลีมาซื้อบัตรวินาทีสุดท้าย (ตามเคย) สังเกตเห็นว่ากลุ่มคนที่มาฟังส่วนมากอายุประมาณ ยี่สิบกว่า ถึงสามสิบ สี่สิบ อืมม์ คนรุ่นใหม่นี่มีใจกว้างขวางดี สนใจ เวิลด์ อิชชู (world issues) ถึงว่าเพราะคนกลุ่มนี้สนใจฟังเรื่องสันติภาพกันมาก เขาเลยเลือกสถานที่จัดให้มันร๊อคสุดขีด เห็นหลายคนที่มาฟังแต่งแฟชั่นแบบทิเบ๊ต..ทิเบต... ไม่แดงเลือดหมู ก็เหลืองขมิ้น ใครมีย่ามเยิ่มอะไรดูทิเบต ดูเอเชีย ก็ควักออกมาโชว์สปิริตกันในงาน เห็นคนทิเบตที่มาฟังแต่งชุดประจำชาติก็เยอะ งานนี้เรียกว่ามีสีสันมาก

เข้ามาถึงในสเตเดี้ยม โอ้โห กว้างเหลือเกิน ฮอลล์ใหญ่ราวท้องสนามหลวง แถวเก้าอี้นั่งเรียงถัดสูงขึ้นไปถึงขนาดตึกสี่ชั้น มองลงมาจากแถวที่นั่ง เห็นคนบนเวทีเหลือตัวเล็กเท่ามด จากเวทีมา ตรงกลางสเตเดี้ยมมีก้อนลูกเต๋ายักษ์บรรจุจอทีวีสี่ด้าน ฉายภาพโคลส-อัพ เผื่อคนซื้อตั๋วราคาถูกอย่างเรา จะได้ไม่ต้องเพ่งองค์ท่่านให้ปวดตา

งานนี้เปิดด้วยมีนักการเมืองจากแคลิฟอร์เนียออกมาพูดเกริ่น พูดอยู่นานจนรู้สึกเริ่มเสียดายตังค์ค่าตั๋ว (ไม่ใช่ถูกๆนา...) จนที่สุดยายนั่นก็พูดจบ แล้วองค์ดาไล ลามะ ก็ค่อยเดินออกมา ถึงตอนนี้คนหมื่นกว่าคนในสเตเดี้ยม ก็พร้อมใจกันยืนขึ้นปรบมือ องค์ท่านพนมมือไหว้ไปรอบๆ หลายคนพนมมือไหว้รับ ชื่นใจเราจริงๆ ไม่เคยได้สัมผัสกับผู้นำชาวพุทธที่มีอิทธิพลต่อจิตใจชาวโลกแบบกว้างขวางแบบนี้มาก่อน แหม น้ำตามันเอ่อออกมาซะ

คนทิเบตเขามีการต้อนรับกันโดยวิธีไหว้พร้อมกับเอาหัวโขกกันเบาๆ เห็นองค์ดาไล ลามะพนมมือไหว้ที่อกแล้วเอาหัวของท่านไปโขกกับนักการเมืองคนที่พูดเกริ่นนั้น แนวว่ามิตรภาพเริ่มจากหัว... สัญญาพนมอยู่ที่ใจ

แล้วท่านก็เอาผ้าขาวมาคล้องรับขวัญคนบนเวที คนพวกนี้เป็นคนพื้นเมืองจากแถวเทือกเขาหิมาลัย คนทิเบต คนภูฐาน คนเนปาล เทิร์กกิสถาน และอื่นๆที่จำชื่อไม่ได้ คิดว่าเป็นกลุ่มที่อพยพย้ายเข้ามาอยู่ในอเมริกา คนพวกนี้แต่งตัวน่ารักแบบคนพื้นเมืองหิมาลัย นุ่งผ้าคล้ายๆซิ่นแต่ด้านบนเป็นคอปาดแบบจีน คล้ายๆแบบเชียงใหม่ ผ้าลายทางๆบ้างดอกๆบ้าง น่ารักน่าดู รับขวัญกันเสร็จ คนที่ไม่ได้มีหน้าที่พูดก็ทะยอยลงจากเวทีไป

บนเวทีมีเก้าอี้สองตัว ตัวหนึ่งสำหรับองค์ดาไล ลามะ อีกตัวสำหรับล่าม องค์ท่านเดินมานั่งเก้าอี้ปุ๊บก็ถอดรองเท้าเอาขาขึ้นนั่งขัดสมาธิปั๊บ ท่ามกลางคนเข้าฟังหมื่นกว่าคน ท่านนั่งดูเป็นกันเองเหมือนอยู่บ้านมาก

องค์ดาไลลามะยิ้มแย้มตลอดเวลา ท่านพูดภาษาอังกฤษแบบสำเนียงทิเบต เวลาฟังต้องเงี่ยหูเล็กน้อยถึงจะจับความได้ ท่านมีล่ามมาด้วย เวลาตอนไหนพูดติด ท่านก็จะพูดเป็นภาษาทิเบตแล้วให้คุณล่ามแปลให้ฟัง บางทีก็มีเถียงมีปรึกษากันเล็กน้อยว่าใช้คำถูกหรือไม่ ท่านมีอารมณ์ขันดี ขำตัวเองเวลาพูดคำภาษาอังกฤษยาวๆไม่ได้ ล่ามบอกให้ฟังอีกทีก็ยังพูดไม่ได้ แล้วท่านก็ยิ้มร่า บอกว่าไม่ได้จริงๆ ตรงนี้คนดูขำกันใหญ่

วันนี้ท่านมาพูดในฐานะของผู้นำชาติที่ถูกแย่งแผ่นดินไป มาพูดก็เพื่อหวังนำวิธีคิดวิธีปฏิบัติแบบเมตตาธรรมแผ่ขจรขจาย เพื่อสันติของโลก เพื่อโปรโมต ฮิวแมน ไรท์ (human right) เพื่อหวังว่ากระแสนี้จะไปขยับหูให้รัฐบาลจีนหันมาฟัง เพื่อชุมชนพุทธแถบหิมาลัยจะได้อยู่กันแบบผาสุก

ท่านพูดถึงมุทิตาจิต การมองภายใน เพื่อก่อสันติภาพกับตัวของเราเอง แล้วแผ่มายังครอบครัว สังคม ส่วนรวม ประเทศชาติ การคิดปฏิบัติแบบนี้เท่านั้นจะพาโลกเจริญ

ท่านว่าเคยมีคนถาม ศาสนาใดในโลกนี้ดีที่สุด ท่านบอกว่าถามแบบนี้เหมือนถามว่ากินยาอะไรแล้วแก้โรคได้ดีที่สุด มันไม่มีอะไรดีที่สุดน่ะสิ มันอยู่ที่ว่าเป็นโรคอะไร แล้วต้องแก้ด้วยยาอะไร วิธีปฏิบัติของแต่ละศาสนานั้นขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม วิธีคิด นิสัยใจคอของผู้ปฏิบัตินั้นๆ จะมาถามว่าอะไรดีที่สุดนั้นมันไม่มีคำตอบ

ท่านว่าศาสนาใดไม่สำคัญ ถ้าให้ดีขอให้มีศาสนาเดียวที่ใจเรายึดเป็นทางเดิน ยึดหลายศาสนาจะพาให้สับสน ไม่รู้จะนับถือพระเจ้าองค์ไหน เดินทางไหน มันเยอะแยะไปหมด ยึดศาสนาเดียว เดินตามทางนั้นไปให้ลึก มองคำสอนให้เห็นแจ้ง แล้วก็จะเดินได้มั่นคง แต่ทั้งนี้ ที่ว่ายึดแต่ศาสนาเดียว ไม่ได้หมายความว่าไม่เคารพศาสนาอื่น คำว่าศรัทธากับเคารพนั้นเป็นคนละความหมายกัน คนอื่นที่เขานับถือของเขาเราก็เคารพไม่ไปก้าวก่าย ท่านว่างั้น (เห็นเลยจากรัฐบาลจีนที่ไม่เคารพพุทธศาสนา ขับไล่ผู้นำพุทธออกจากแผ่นดินพุทธ เผาวัดวาอารามทิ้งเป็นจุณ เพียงเพื่อตอบสนองแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์บ้าอำนาจ)

องค์ดาไล ลามะ มีปรารภว่าอยากจะให้ดินแดนแถบเทือกเขาหิมาลัยเป็นดินแดนเสรีธรรมสำหรับชาวพุทธ คือต้องการให้ประเทศต่างๆแถวนั้นรวมตัวกัน (คล้ายๆแบบยุโรป) เพื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อเสรีภาพในการใช้ชีวิต ร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ และความเชื่อทางศาสนา แนวคิดนี้ฟังดูดีมากๆ ชาวเขาชนตัวเล็กคนกลุ่มน้อย ทีนับวันมีแต่จะแพ้กระแสจากโลกภายนอก เมื่ออาศัย ธรรม เป็นแรงบวกร่วม จะได้มีพลังสร้างวัฒนธรรมร่วมกัน จากประเทศยิบๆย่อยๆ จะได้มีความมั่นคงขึ้น ฟังแล้วก็สาธุ ขอให้ได้เป็นจริงตามที่ท่านหวังโดยเร็วเถิด

ท่านว่าโลกเราทุกวันนี้ ไม่มีการอยู่แบบประเทศใครประเทศมันเหมือนแต่โบราณอีกแล้ว แต่ละชาติแต่ละประเทศก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ทั้งเศรษฐกิจ และการเมือง เหมือนกับโลกนี้เป็นบ้านของครอบครัวเดียว ใครจะทำอะไรก็ส่งผลถึงกันหมด หากแต่ละคนในครอบครัวมีธรรมในจิตใจ ความผาสุกก็จะแผ่กระจายกันไปทั้งครอบครัว ท่านคิดแบบตรงๆ ให้เราทำได้แบบตรงๆ เริ่มได้ก่อนจากตัวเราเอง จะคิดดีนี่มันก็แค่พลิกฝ่ามือเองนะ

หลังจากฟังจบ ฉันกับลีก็ไปโบสถ์ ไปรับรสหวานจากเพลงสรรเสริญพระเจ้าของชาวคริสต์ ฉันไม่คิดจะเข้าเป็นคริสเตียนแบบลี แต่ก็ได้อาศัยบ้านของชาวคริสต์ที่นี่เป็นแหล่งพักจิต ไปนั่งตั้งสมาธิภาวนาแบบพุทธๆเรา แถมได้ฟังเพลงเพราะๆพาให้ตัวลอยไปยังสรวงสวรรค์อีกน่ะ อืมม์ อิ่มบุญจัง.

No comments: