ตอน: ครีต
นั่งเรือจากเอเธนส์มาถึงเกาะครีต (Crete) ด้วยเวลาหนึ่งคืนเต็ม เรือเดินสมุทรนี้เขาใช้ส่งสินค้าไปยังประเทศต่างๆในยุโรปและเกาะต่างๆในกรีซ และมีส่วนที่แบ่งเป็นห้องให้ผู้โดยสารสูงถึงเก้าชั้น ห้องพักก็คล้ายๆกับรถห้องในตู้รถไฟชั้นหนึ่ง คือเป็นซอกแคบๆ เปิดเข้าไปก็มีเตียงสามเตียง (แคบๆแบบเตียงนักโทษ) สองเตียงขนาบกันซ้ายขวา ส่วนอีกเตียงยกลอยมีบันไดลิงให้ไต่ขึ้นลง ที่ดีกว่ารถไฟชั้นหนึ่งบ้านเราคือเขามีห้องน้ำด้วย อาบน้ำได้ มีสบู่ ผ้าเช็ดตัวให้ และมีตู้เก็บของเล็กๆเหมือนโรงแรม ลักษณะเรือนี้ก็คล้ายๆกับเรือไตตานิคที่เคยดูในหนัง แต่ไม่ถึงขนาดโบราณแบบมีหวูด มีควันออกมาเวลาแล่นไปอะไรแบบนั้น และที่สำคัญคือเขาไม่ให้ใครขึ้นไปยืนร้องเพลงที่หัวเรือเด็ดขาด
ช่วงคริสต์มาสนี้เรือเต็มเอี๊ยด เพราะคนในเอเธนส์ที่บ้านเดิมอยู่เกาะต่างก็กลับบ้านไปเจอครอบครัวกัน พวกที่จองตั๋ววินาทีสุดท้ายจะจ่ายค่าตั๋วครึ่งเดียวเพราะไม่ได้ห้องพัก ต้องเอาถุงนอนไปนอนกันตามโถง ตามริมทางเดิน ถ้ายังเป็นนักเรียนอยู่ก็ถือว่าผจญภัย สนุกดี แต่ถ้าแก่แล้วก็น่าจะถือว่าทรมาณสังขาร เพราะคนจะเดินผ่านไปมาตลอด กลางคืนก็จะนอนไม่หลับ ส่วนเราจองล่วงหน้าไว้นาน เลยไม่ต้องไปทรมาณสังขารกับเขา
บ้านเอมาน่วลอยู่ไม่ไกลจากฝั่งทะเลเท่าไรนัก ทะเลฝั่งนี้เรียกว่าทะเลครีต คือทะเลทางใต้ที่คั่นระหว่างเกาะครีตกับแผ่นดินใหญ่ที่เมืองเอเธนส์ตั้งอยู่ ถ้าไปทางขวาจากแผ่นดินใหญ่คือทะเลอีเจียน คั่นระหว่างกรีซแผ่นดินใหญ่กับตุรกี หากลงมาจากแผ่นดินใหญ่ลงมาทางใต้ เยื้องซ้ายหน่อยๆ คือทางแหลมสปาตาร์นี่เขาก็เรียกว่าเมดิเตอเรเนียน คั่นระหว่างอิตาลี กรีซ อียิปต์ อิสราเอล ฯลฯ รวมๆแล้วเมดิเตอเรเนียนก็คือทะเลที่คั่นระหว่างยุโรปกับอาฟริกาและเอเซียไมเนอร์นั่นเอง
เกาะครีตเป็นเกาะใหญ่ที่ก็ยังมีความเป็นเมืองอยู่สูง คงคล้ายๆภูเก็ต คือมีแหล่งชอปปิ้งให้จับจ่าย ซื้อของ และก็มีเขตอนุรักษ์ เมืองเก่าเมืองแก่ ตามสภาพภูมิประเทศภูมิอากาศ ครีตไม่เคยหนาวถึงขนาดมีหิมะตก แต่ก็มีเทือกเขาที่มีหิมะปกคลุมตลอดปีแบบภูเขาไฟฟูจี แต่ใหญ่และยาวกว่ามาก เขตบ้านเอมาน่วลเรียกว่าฮานย่า (Hania) เป็นเมืองหน้าด่านของเกาะที่มีประวัติศาสตร์การสู้รบยาวนาน มีเขตเมืองเก่าที่ตั้งอยู่ในกำแพงเมืองแบบโบราณ กำแพงนี้เป็นกำแพงอิฐที่ถึงตอนนี้ก็ทรุดโทรมลง แต่บ้านเขตในเขายังคงซ่อมแซมให้คนเข้าไปอยู่ บ้านในเขตกำแพงเมืองนี้ส่วนมากเป็นตึกสองชั้นหลังเล็กๆแคบๆ มีถนนแคบๆลัดเลี้ยวขึ้นลง ถ้าคนไม่รู้จักก็อาจเดินหลงได้ง่ายเพราะเขาไม่มีชื่อถนนติดบอก ถนนในเขตนี้รถยนต์เข้าไม่ได้ ต้องเดินเท้าหรือไม่ก็ต้องใช้จักรยานสถานเดียว สถาปัตยกรรมบ้านเรือนในเขตกำแพงเมืองส่วนมากเป็นแบบเวนิเชียน (Venetian) ชื่อนี้มาจากชื่อเมืองเวนิสที่แต่ก่อนใช้เรียกดินแดนแถบทางใต้ของยุโรปในสมัยศตวรรษที่ 16 ซึ่งตอนนี้ก็คือประเทศอิตาลี หากใครเคยอ่านเรื่องเวนิสวานิชคงพอจะเข้าใจ ตึกบางแห่งก็เป็นแบบอิสลาม มีโรงอาบน้ำแบบ เตอร์กิช บาธ (Turkish Bath) ให้เห็นบ้าง แต่ตอนนี้ก็ได้กลายเป้นร้านรวงไปหมดแล้ว
เขตไหนที่สวยจัดๆก็มักกลายเป็นร้านอาหาร โรงแรมและคาเฟ่กันเกือบหมด ส่วนที่เป็นบ้านคนก็จะหลบไปตามหลืบ บ้านหลายหลังที่เก่าโทรมมากต้องรื้อทิ้งสถานเดียว ทางการเขาก็ขอให้เก็บหน้าจั่ว บานหน้าต่าง และบานประตูทางเข้าที่เป็นเอกลักษณ์เดิมไว้ ส่วนข้างในจะทุบทิ้งสร้างใหม่เป็นแบบไหนนั้นจะอย่างไรก็ได้
กำแพงเมืองเก่าก็บอกเรื่องราวของยุทธศาสตร์การสู้รบได้ดีนัก กำแพงเมืองนี้มีสองชั้น ชั้นนอกเอาไว้กันศัตรูจากภายนอก ชั้นที่สองเอาไว้ล่อศัตรูให้ติดกับ ตัวกำแพงสร้างเป็นแนวโค้งไม่มีการหักมุม เพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูแอบหลบซ่อน เมื่อเดินลึกเข้ามาระหว่างกำแพงสองชั้นนี้ ก็เห็นว่ายิ่งใกล้ทางเข้าเมืองทางเดินก็ยิ่งแคบลงๆ เอมาน่วลบอกว่าทางที่แคบลงนี้เป็นกับดัก ทางที่แคบลงๆทำให้มีที่วิ่งหนีน้อย ปืนที่จ้องอยู่จากกำแพงชั้นในก็เล็งได้ง่าย ยิงสะดวกไม่เปลืองแรง เหมือนเล็งหมูในอวยยังไงยังงั้น!
กลับออกมานอกเขตเมืองเก่า เลยย่านช้อปปิ้งมาหน่อยมีตลาดใหญ่แบบมีหลังคา ดูก็คล้ายๆหัวลำโพงผสมกับกาดหลวงของเชียงใหม่ คือตัวตึกเป็นปูนตกแต่งแบบโบราณ แต่มีฟังก์ชั่นเป็นตลาดสด อายุเกือบร้อยปีแล้ว ในตลาดมีผักปลาชนิดต่างๆขาย มีหมู เนื้อแกะ เนื้อกระต่าย แขวนห้อยกันเป็นพวง ของแห้งเขาก็มีพวกปลาแห้ง ชีส น้ำมันมะกอก สบู่ และเหล้าอูโซ่ (Ouzo) น้ำอมฤตใสสนิท มีรสและกลิ่นหวานฉุน สรรพคุณก็น้องๆว้อดก้า บางร้านการตลาดจัดก็เอาเหล้ามาใส่ขวดที่รูปเหมือนวิหารพาเธนอน เอาไว้ขายนักท่องเที่ยวตาตื่น มองไปก็น่าเอ็นดูดีเหมือนกัน คล้ายๆกับในเมืองไทยที่มีพัดเพ้นท์เป็นรูปชนบทเอาไว้ขายนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้จะซื้ออะไรเป็นที่ระลึกอย่างนั้นเลย
ไกด์ผีเอมาน่วลเล่าให้ฟังว่า เกาะครีตนี้มีวัฒนธรรมหลากหลายทับถมอยู่ เนื่องมาจากที่เป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์ เหมาะสำหรับการเกษตร และภูมิประเทศก็เหมาะแก่การตั้งอาณาจักร มีเทือกเขาสูงบังที่ราบกว้าง มีทะเลล้อม ใครมีอำนาจก็อยากได้ครอบครอง ฉะนั้นจึงมีหลักฐานมากมาย (ท่วมหัว) ว่าในอดีตนั้นมีใครต่อใครมาตั้งอาณาจักรไว้ แล้วก็โดนใครต่อใครแย่งชิง แล้วใครต่อใครก็มาสร้างเมิองทับ เป็นเช่นนี้อยู่นับครั้งไม่ถ้วน
ความศรีวิไลของอาณาจักรบนเกาะครีตนี้มีมาตั้งแต่สมัยยุคหินใหม่ (Neolitic period) คือราวๆ 2400 กว่าปีก่อนคริสตกาล ก็คือประมาณ 5400 กว่าปีมาแล้ว ถ้าเทียบก็ประมาณยุคบ้านเชียงหรือเก่ากว่า มีการขุดพบพระราชวัง คโนโซส (Knosos) ของกษัตริย์ มิโนส (Minos) ผู้ครองอาณาจักร มิโนน (Minoan) พระราชวังคโนโซสนี้ ว่ากันว่าเป็นพระราชวังที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยขุดพบมาในทวีปยุโรป ไกด์ผีเอมาน่วลบอกว่าอาณาจักรมิโนนเป็นอาณาจักรที่มีกองทหารที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น นอกจากมีกลยุทธ์ในการป้องกันเมืองอย่างแยบยลแล้ว ทหารหนุ่มๆก็ฉกรรจ์เหลือหลาย มีเกมส์อันหนึ่งที่เขานิยมกันในสมัยนั้น คือการขี่วัวผาดโผน วัวคึกๆกำลังตกมันนี้แล มาแหย่ให้ตระหนก ไอ้หนุ่มน้อยเขย่งเก็งก็อย ตีลังกาขี่ ขาชี้ฟ้า ถือว่าเป็นความมาดแมนประดุจเฮอคิวลิส เป็นเอ็นเตอร์เทนเม้นท์เฉพาะในสำนักพระราชวัง ยังมีภาพวาดผนังเหลือไว้เป็นหลักฐานให้ดูในมิวเซียม
ตัวพระราชวังคโนโซสนี้ มีบางส่วนที่เติมต่อบูรณะขึ้นเพื่อพอให้เห็นรูปร่าง แต่โดยรวมก้คือซากปรักหักพังที่เหลือแต่ตอ แต่กระนั้นก็เห็นว่าซับซ้อนมาก มีหลายชั้นวนเวียน มีโรงเก็บข้าวเก็บพืชผลเป็นส่วนๆ มีท้องพระโรง มีห้องเก็บศพ โรงฝึกงานช่างต่างๆ เช่นงานปั้นดิน งานเหล็ก ทางขึ้นลงซับซ้อนสมดังคำเล่ากล่าวเรื่องกลยุทธ์ในการป้องกันเมือง
จากยุคอาณาจักรมิโนนนี้ก็เข้าสู่ยุคโรมัน แล้วก็ไบแซนทีน เวนิเชียน เติร์ก และกรีกปัจจุบันตามลำดับ รวมก็หลายพันปี เล่าหมดไม่ไหวเพราะความรู้ไม่พอ รู้แต่ว่าหลักฐานของอดีตที่นี่ชวนให้จินตนาการนั้นพรึงเพริด
ระหว่างนั่งรถชมวิวนอกเมืองก็เห็นสวนมะกอกใบระยิบเป็นทิวทุ่ง เห็นโบสถ์ไบแซนทีนสมัยเก่าตั้งสงบเสงี่ยมกลางสวนส้ม นึกในใจว่าภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้เป็นสิ่งเดียวกับที่คนเมื่อหลายพันปีที่แล้วมองเห็น หนึ่งชีวิตของเรานับดูแล้วก็เป็นเพียงส่วนเสี้ยวของเวลาที่ผ่านมาเท่านั้นเอง.
Saturday, January 07, 2006
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment